คลังยอมรับปีนี้ จีดีพีต่ำกว่าเป้า
“อุตตม”ระบุ หากสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว จะกระทบให้จีดีพีปีนี้ต่ำกว่าเป้าหมาย ลุ้นการบริโภคในประเทศและการลงทุนรัฐวิสาหกิจช่วยหนุน เผยพร้อมออกมาตรการหากจำเป็น ด้าน”สุริยะ”จี้แบงก์ชาติแก้ปัญหาบาทแข็งค่า ระบุ ขณะนี้ อุตฯรถยนต์ส่งออกได้รับผลกระทบหนัก
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าว ถึงกรณีตัวเลขจีดีพีไตรมาสสามที่สภาพัฒน์ประกาศออกมาว่า เท่าที่เห็นไตรมาสามเทียบกับไตรมาสสองถือว่า ทรงๆ ไม่ได้ตกต่ำ โดยขยายตัวได้ 2.4% จาก 2.3% ส่วนจีดีพีทั้งปี ก็คิดว่า น่าจะต่ำกว่าเป้าหมายที่กระทรวงการคลังตั้งไว้ที่ 2.8% โดยปัจจัยหลักที่เข้ามากระทบ คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว กระทบต่อภาคการส่งออก
“เชื่อว่า จากข้อมูลที่เห็น สิ่งที่ยังเป็นประเด็นอยู่ คือ เศรษฐโลกที่กระทบต่อการส่งออกของเรา ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจไตรมาสสามพอสมควร และคงมีผลต่อเศรษฐกิจภายใน โดยเฉพาะภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ยึดโยงกันมาด้วย”
อย่างไรก็ดี ในด้านดัชนีอุตสาหกรรม มีตัวเลขที่ชี้ว่า การผลิตจะชะลอ ขณะเดียวกัน เม็ดเงินที่ลงไปในเรื่องของการผลิตเอกชนไม่ได้ตกลง ปัจจบันประมาณ 4.3 แสนล้าน สูงกว่า เม็ดเงินที่เข้าสู่การผลิตโรงงานแประมาณปีที่แล้ว 3.6%
ด้านการบริโภคเอกชน ภาพยังเป็นภาพทรง มีสัญญาณบวกบ้างเล็กน้อย ดูจาการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในไตรมาสที่สามที่เพิ่งจบไปที่ 1.9% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 1.5%
ทั้งนี้ ล่าสุดในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มภายในประเทศนั้น เพิ่มขึ้น 6% เป็นสัญญาณเศรษฐกิจในประเทศเชิงบวก ฉะนั้น ภาพเศรษฐกิจยังเป็นภาพของเศรษฐกิจที่ยังเดินหน้าเพิ่มเล็กน้อย แต่ยังถูกกระทบต่อเนื่องจากเศรษฐกิจโลก
เขากล่าวด้วยว่า ได้มอบหมายให้หน่วยงานในกระทรวงการคลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินแนวโน้ม โดยเชื่อว่า เรายังมีไตรมาสสี่ที่จะเข้ามาช่วย โดยให้เร่งขับเคลื่อนมาตรการที่ออกไปแล้ว แต่ยังไม่ส่งผล เพราะเพิ่งออกไปในไตรมาสสาม
“ยกตัวอย่าง เมื่อสัปดาห์ก่อน ก็มีมาตรการเสริมในเรื่องการเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ถ้าทำตามแผนไตรมาสสี่จะมีเม็ดเงินลงไป 1 แสนล้านบาท ก็จะเป็นประโยชน์ ส่วนมาตรการอื่นจะมีมาตรการเพิ่ม ถ้าจำเป็นก็เป็นไปได้ที่จะเพิ่มมาตรการ”
เขาระบุด้วยว่า เราเห็นตัวเลขจ้างงานที่พูดว่า มีคนออกจากงาน 3 หมื่นคน ถ้าไปดูตัวเลขจ้างงานใหม่ โรงงานเปิดใหม่มีจำนวนมากกว่าปิด โดยมีการจ้างงานเพิ่ม 8 หมื่นคน ขณะเดียวกัน ยังมีการจ้างงานสำหรับการขยายโรงงานอีก 8 หมื่นคน สะท้อนว่า แม้ว่าวันนี้ เราเผชิญท้าทายจากข้างนอก แต่เราก็ดูแลให้เศรษฐกิจเดินหน้าไปได้
ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่า ทางผู้ประกอบการได้เรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศเข้ามาดูแลเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งขณะนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตส่าหกรรม ที่มีสัดส่วนถึง 30% ของจีดีพีโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมหลัก คือ รถยนต์ ซึ่งได้รับผลกระทบมากจากเงินบาทแข็งค่า
“สภาพัฒน์ได้ระบุว่า ได้ให้น้ำหนักภาคอุตสาหกรรมมีผลต่อจีดีพีถึง 30% ขณะนี้ มีอุตสาหกรรมหลัก คือ รถยนต์ที่เป็นตัวทำให้ตัวจีดีพีต่ำลง โดยตัวเลขรถยนต์ได้คุยกับผู้ประกอบการว่า ปัญหาหลัก ค่าเงินบาทแข็งมา 10% ถ้าธปท.ได้เข้ามาดูแล คิดว่า จะทำให้ภาครถยนต์ดีขึ้น”
เขากล่าวด้วยว่า ในอดีตเวลาอุตสาหกรรมรถยนต์ส่งออกได้ จะลดราคารถยนต์ในประเทศ มาอุดหนุน เมื่อบาทแข็ง ทำให้ผลกระทบมาก คิดว่า ภายในเดือนนี จะไปเยี่ยมชมผู้ประกอบการรถยนต์เพื่อหารือว่าจะมีมาตครการที่กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้หรือไม่
“ผมคิดว่า แบงก์ชาติทำได้มากกว่าถ้าอยากจะช่วยกัน นี่คือ เสียงผู้ประกอบการจากสภาอุตฯ และสภาหอฯ”