‘ออลล์ อินสไปร์’ พลิกเกม รุกรายได้ค่าเช่า-เพิ่มน้ำหนักตลาดบ้านเดี่ยว-ทาวน์โฮม

‘ออลล์ อินสไปร์’ พลิกเกม รุกรายได้ค่าเช่า-เพิ่มน้ำหนักตลาดบ้านเดี่ยว-ทาวน์โฮม

‘ออลล์ อินสไปร์ ’ เผยยอดขายไตรมาส3 โตสวนกระแสตลาดอสังหาฯชะลอ คาดสิ้นปีทะลุเป้า หลังรับอานิสงส์ มาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง ประเมินภาพรวมอสังหาฯปี 63 ทรงตัว ปรับกลยุทธ์หารายได้จากค่าเช่าร่วมกับคู่ค้า เจาะตลาดแนวราบ

นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2562 จะชะลอตัว ส่งผลให้ภาพรวมตลาดติดลบ 5-10% แต่ด้วยกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่เน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในแนวรถไฟฟ้าที่เข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยจริงในระดับราคาขายที่เหมาะสมกับกำลังซื้อลูกค้า ทำให้ผลการดำเนินงานยังอยู่ในเกณฑ์ดี

โดยในไตรมาส 3 ปี 2562 (ก.ค.–ก.ย.) บริษัทมีรายได้รวม 647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 466 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 172% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 20% และสิ้นไตรมาส 3 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog)มูลค่ากว่า 11,400 ล้านบาท

ขณะที่ยอดขาย 9 เดือนแรก ปี 2562 อยู่ที่ 6,500 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 90% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี 2562 ที่ตั้งไว้ 7,000 ล้านบาท โดยโครงการที่คาดว่าจะส่งผลให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าที่อยู่ระหว่างการโอนในไตรมาส 4 และไตรมาส 1ปี 2563 ได้แก่ 1. โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อพเวย์ สุขุมวิท 50 2. โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อพเวย์ สุขุมวิท 71 และ3.โครงการ เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว – นวมินทร์ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ของมาตรการรัฐ คือ การลดค่าใช้จ่ายในการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน และค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท คาดว่ายอดขายปีนี้ จะเติบโตกว่าเป้าหมายกว่า7,000 ล้านบาท

  

นายธนากร ยังประเมินแนวโน้มตลาดอสังหาฯในปี2563 ว่า จะทรงตัว หลังจากที่ตลาดปรับลดลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว บริษัทมีแผนปรับกลยุทธ์ธุรกิจในเชิงลึกมากขึ้น เริ่มจาก 1.การนำโครงการที่อยู่ในเกณฑ์สามารถลดค่าโอนและจดจำนอง สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเข้ามาร่วมรายการ 2.การแตกไลน์ เข้าไปลงทุนในสิทธิการเช่าช่วง เริ่มจากศูนย์การค้า เดอะ นิว ฟอรั่ม พลาซ่า จ.ชลบุรี ซึ่งโครงการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จ และจะเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ ในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 จะส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้จากค่าเช่า เฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปี ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป ตลอดอายุสัญญาเช่า 29 ปี คาดว่าจะเริ่มมีรายได้ในปี 2563 และมีแผนที่ร่วมทุนกับกลุ่มเจอาร์ คิวชู ในการหารายได้จากค่าเช่า จากการลงทุนโครงการมิกซ์ยูส โรงแรม หรืออาคารสำนักงานในทำเลที่มีศักยภาพและมีดีมานด์ คาดว่าเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 10 % ภายใน 3 ปี

ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนทำตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบมากขึ้น อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และ ทาวน์โฮม เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคให้หลากหลาย