กลุ่มอ้อยค้านแบน 3 สารเคมี สูญ 1.5 แสนล้าน

กลุ่มอ้อยค้านแบน 3 สารเคมี สูญ 1.5 แสนล้าน

สมาคมนักวิชาการอ้อยและน้ำตาลแห่งประเทศไทย ระบุ แบน 3 สารเคมีเกษตร ปีหน้าไทยจะเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท เฉพาะอุตสาหกรรมน้ำตาล โรงไฟฟ้าชีวมวล กว่า 1.5 แสนล้านบาท จี้รัฐถกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนนโยบายด่วน

     นายกิตติ ชุณหวงศ์ นายกสมาคมนักวิชาการอ้อยและน้ำตาลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตอันดับที่ 5 และส่งออกน้ำตาลอันดับที่ 2 ของโลก มีพื้นที่ปลูก 11 ล้านไร่ ผลผลิตรวม 134 ล้านตันต่อปี เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตน้ำตาลทราย และผลพลอยได้จากกากน้ำตาล กากชานอ้อย กากตะกอน นำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมแปรรูป อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ผลิตเอทานอล ผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าชีวมวล รวมทั้งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และเคมี

     ทั้งนี้ การแบน 3 สารเคมีเกษตร โดยเฉพาะ พาราควอต ได้ประมาณการณ์ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2563 ทั้งในระดับเกษตรกร อุตสาหกรรมแปรรูปที่ใช้วัตถุดิบทางการเกษตร และการส่งออก โดยคาดว่าผลผลิตอ้อยจะลดลง 20-50% ถ้าไม่ใช้สารพาราควอตในช่วงอ้อยย่างปล้อง จะทำให้อ้อยหายไปถึง 67 ล้านตันต่อปี เกษตรกรสูญเสียรายได้ไปกว่า 5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังส่วนใบและยอด ซึ่งใช้ในโรงไฟฟ้าชีวมวล จะสูญหายไป 11 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 7.4 พันล้านบาท รวมเกษตรกรสูญเสียทั้งสิ้น 5.8 หมื่นล้านบาท

     ส่วนผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ปริมาณน้ำตาลทรายดิบจะหายไปประมาณ 6.7 ล้านตันต่อปี คิดเป็นรายได้ประมาณ 4.7 หมื่นล้านบาท รวมทั้งกากน้ำตาลจะหายไป 3.3 ล้านตัน คิดเป็นรายได้ 1 หมื่นล้านบาท สร้างความเสียหายต่อการผลิตเอทานอลประมาณ 8.4 ร้อยล้านลิตร คิดเป็นรายได้ 1.8 หมื่นล้านบาท

     ขณะเดียวกัน กากชานอ้อย วัตถุดิบสำคัญในการผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าชีวมวล จะหายไปไม่ต่ำกว่า 20 ล้านตัน สูญรายได้ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท ทำให้ไม่มีกระแสไฟฟ้าจ่ายเข้าสู่ระบบอย่างน้อย 67.4 เมกะวัตต์ เทียบเท่ากับการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำทั้งปีจาก 2 เขื่อนใหญ่ ได้แก่ เขื่อนอุบลรัตน์ และเขื่อนจุฬาภรณ์ คิดเป็นรายได้ที่หายไป อัตรา 2.7 บาทต่อหน่วย ประมาณ 182 ล้านบาท รวมทั้งระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลจะสูญเสียกว่า 1.5 แสนล้านบาท และหารรวมภาคอุตสาหกรรมและที่เกี่ยวเนื่องสูญเสียทั้งสิ้น 9.2 หมื่นล้านบาท

     นอกจากนี้ยังกระทบต่อการส่งออกน้ำตาล ที่ อุตสาหกรรมน้ำตาลไทยพึ่งพิงรายได้จากการส่งออกถึง 75% ของผลผลิตน้ำตาลทั้งหมด ส่วนที่เหลือใช้ในประเทศส่งออก 10-11 ล้านตันต่อปี เหตุที่ไทยแข่งขันในตลาดโลกได้ดี เพราะต้นทุนอ้อยในการผลิตน้ำตาลของไทยอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก มีข้อได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งทำให้ต้นทุนขนส่งต่ำกว่า

     ดังนั้น จึงอยากให้รัฐพิจารณาใหม่อีกครั้ง และต้องเร่งจัดการปัญหาโดยด่วน อาจจะยืดระยะเวลาแบนออกไป เพื่อไม่ให้กระทบกับ ฤดูการปลูกอ้อยต่อไป โดยรัฐควรหารือ กับภาคอุตสาหกรรมเกษตรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยเร็ว เพราะหากรวมมูลค่าความเสียหายจากพืชอื่นๆ5ชนิด คือ มันสำปะหลัง ยางพารา. ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด และผลไม้ จะมีมูลค่ากว่า5แสนล้านบาท      นายรังสิต สุวรรณมรรคา ผู้เชี่ยวชาญด้านวัชพืช ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ปัจจุบันหลายประเทศที่ใช้แนวทางปฏิบัติการอนุญาตใช้สารเคมีเกษตรขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล แอฟริกาใต้ อินเดีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น ยังใช้ พาราควอต ในพืชต่าง ๆ เช่น ข้าว ข้าวโพด อ้อย ชา กาแฟ มั่นฝรั่ง สัปปะรด พืชผักผลไม้ พืชตระกูลถั่ว พืชตระกูลเบอร์รี่ โดยผลิตผลทางการเกษตรเหล่านี้ ก็นำเข้ามาบริโภคในประเทศไทย

     ดังนั้น การยกเลิกใช้ พาราควอต จึงไม่ใช่ทางออกของภาคเกษตรกรรมและผู้บริโภคไทย และ ปัจจุบันยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน ด้านการตกค้างในสิ่งแวดล้อมจนเป็นอันตรายต่อเกษตรกรและสิ่งมีชีวิตในดินและน้ำ ในขณะที่สิ่งทดแทนพาราควอต ทั้งสารเคมี 16ชนิดและวิธีการกำจัดหญ้า ทั้งแรงงานคน เครื่องจักร ตามข้อเสนอของกรมวิชาการเกษตร ไม่สามารถใช้ในพื้นที่โคนต้น เนิน ดินแฉะ หรือพื้นที่เกษตรที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้เครื่องจักร

     ส่วนสารทดแทน 16 ชนิด ไม่สามารถนำมาเป็นทางเลือกหรือทดแทน พาราควอต ได้ เพราะคุณสมบัติของสารแต่ละชนิดมีผลต่อพืชเศรษฐกิจต่างกัน บางชนิดไม่สามารถฆ่าวัชพืชบางชนิดได้ บางชนิดหากใช้เป็นพิษต่อพืชปลูก บางชนิดปนเปื้อนน้ำบาดาลได้ บางชนิดใช้สภาพอากาศฝนตกชุกไม่ได้

      นายแพทย์สมชัย บวรกิตติ ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสภา ยืนยันประเด็นด้านสุขภาพที่เกี่ยวกับพาราควอตว่า สังคมน่าจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเนื้อเน่าเพิ่มมากขึ้นแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับพาราควอต แต่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย รวมทั้ง รายงานผลการตรวจพบพาราควอตในเลือดของหญิงใกล้คลอดและเลือดสายสะดือทารก ขาดข้อมูลที่ชัดเจนถึงการได้รับสารเคมีเกษตรกรและความผิดปรกติ 

      สอดคล้องกับรายงานทางการแพทย์จากอดีตถึงปัจจุบันยังไม่พบการเกิดพิษจากพาราควอตในกลุ่มผู้ใช้เลย นอกจากนำไปดื่มกินเพื่อฆ่าตัวตาย ที่สำคัญมีรายงานล่าสุดจากสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา หรือ US EPA ระบุว่า “พาราควอต” ไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ ไม่มีความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน รวมทั้งข้อมูลที่กล่าวอ้างเรื่องการปนเปื้อน การตกค้างของพาราควอตไม่ขัดเจน ไม่มีนัยสำคัญทางพิษวิทยา อย่างไรก็ตาม การอบรมให้ความรู้และการปฏิบัติตนที่ถูกต้องในการใช้สารเคมีเกษตรของผู้ซื้อและใช้ เป็นสิ่งที่ดีและภาครัฐควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะสารเคมีเกษตร จำเป็นต่อกสิกรรมของไทย

      นายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย กล่าวว่า ในขณะนี้อยูระหว่างการทำหนังสือเพื่อขอรับบริจาคจากเกษตรกรที่ได้รับเงินคนละ1บาทจำนวน 1 ล้านคนเพื่อนำเงินไปฟ้องศาลปกครองกรณีได้รับผลกระทบจากการแบน 3 สารเคมี หลังจากวันที่1ธ. ค. 2562 ที่มติคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีผลบังคับใช่

      นอกจากนี้เกษตรกรจะนำสารเคมีที่มีหลายหมื่นลิตร ไปคืน 3 กระทรวงหลักที่มีส่วนออกมติ ให้แบน ทั้งนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่มีความเป็นไปได้ที่แกลลอนบรรจุอาจจะรั่ว และเจ้าหน้าที่ก็ต้องล้างกันเอาเอง