ตลท.ชี้ ธุรกิจอาหารไทยน่าลงทุน กำไรเติบโตติดอันดับท็อป 200ของโลก

ตลท.ชี้ ธุรกิจอาหารไทยน่าลงทุน กำไรเติบโตติดอันดับท็อป 200ของโลก

ตลท.ชี้ หุ้นธุรกิจอาหารไทยน่าลงทุน พบ 8 บริษัทติดอันดับ ท๊อป 200 ของโลกด้านการเติบโต'กำไร- มาร์เกตแคป - ผบตอบแทนลงทุน ในช่วง3ปีที่ผ่านมา พบ 'อาฟเตอร์ ยู' มีอัตราเติบโตของกำไร ติดอันดับท็อป50 ของโลก

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ออกบทวิจัย SET Note เรื่อง “เพิ่มมูลค่าให้อาหารเท่ากับเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจ” ในตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET และ mai) มีบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับอาหารจำนวน 56 บริษัท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 1 ล้านล้านบาท หรือ 6.5% ของมูลค่าตลาดแบ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและแปรรูปอาหารจำนวน 46 บริษัท และบริษัทที่ประกอบธุรกิจร้านอาหาร 10 บริษัท

ในช่วงปี 2558-2561 ธุรกิจอาหารเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจผลิตและแปรรูปอาหารเติบโตในอัตราที่สูงกว่าธุรกิจร้านอาหารทั้งด้านรายได้และกำไร อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกลุ่มยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรได้สม่ำเสมอในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

หากต้องการลงทุนในธุรกิจอาหาร หุ้นไทยเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าลงทุน เมื่อเทียบกับหุ้นบริษัทผู้ผลิตและแปรรูปอาหารทั่วโลกจำนวน 2,099 หุ้น ในจำนวนนี้ 8 หุ้นไทยติดอันดับ Top 200 ของโลก ในด้านอัตราการเติบโตของกำไร ได้แก่ HTC XO และ KASET ด้านขนาดของหุ้น ได้แก่ CPF OSP และ CBG ด้านผลตอบแทนจากการลงทุน ได้แก่ ASIAN XO และ TFG

สำหรับธุรกิจร้านอาหาร เมื่อเทียบกับหุ้นร้านอาหารทั่วโลก 381 หุ้น ในจำนวนนี้ 2 หุ้นไทยติดอันดับ Top 50 ของโลก ในด้านอัตราการเติบโตของกำไร ได้แก่ AU และด้านขนาดของหุ้น ได้แก่ M

อนาคตของธุรกิจอาหารของไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากหากให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์อาหาร เนื่องจากปัจจุบันการผลิตอาหารกึ่งสำเร็จรูปหรือพร้อมรับประทานและเครื่องดื่มมีสัดส่วน 21% ของมูลค่าผลผลิตทั้งหมด ทั้งที่มีอัตรากำไรสูงกว่าการขายผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร

สำหรับการขยายสาขาของร้านอาหารอย่างรวดเร็วในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาทำให้รายได้และกำไรต่อสาขาของบริษัทส่วนใหญ่ลดลง บริษัทจึงควรมีกลยุทธ์ในการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และบริการไปพร้อมกัน หรือเติบโตอย่างสมดุลทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ