ร้องรัฐบาลเพิ่มงบกสศ. แก้เหลื่อมล้ำตรงจุด

ร้องรัฐบาลเพิ่มงบกสศ. แก้เหลื่อมล้ำตรงจุด

สส.หลายพรรคประสานเสียงร้องให้รัฐบาลเพิ่มงบประมาณให้กับกสศ. เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้จริงและครอบคลุมทุกมิติ

จากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้มีวาระรับทราบรายงานประจำปี 2561 ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อภิปรายประเด็นที่กสศ.ได้รับการจัดสรรงบประมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับภารกิจงานที่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ

นพ.สุภภร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่ากสศ. เป็นข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการศึกษ ที่ชี้ว่าจุดอ่อนมากที่สุดเรื่องหนึ่งของประเทศ คือ ความเหลื่อมล้ำและความไม่เสมอภาค

โดยมีข้อเสนอรัฐบาล 2 เรื่อง คือ การจัดตั้ง กสศ. เพื่อเป็นกลไกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และถ้าจะลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มเติมเท่าไหร่ ซึ่งไม่ใช่เพิ่มเติมที่ใดก็ได้ ต้องชี้เป้าให้ถูก ทางคณะกรรมการอิสระได้เสนอว่าควรจะใช้งบประมาณ 5 % ของงบประมาณด้านการศึกษาปัจจุบัน จนเป็นที่มางบที่ตั้งไว้ 25,000 ล้านบาทต่อปี

“จำนวนงบประมาณเป็นคำตอบแค่ครึ่งเดียว ไม่สำคัญเท่ากับเงินจำนวนนี้ไปเติมที่จุดไหน ไม่จำเป็นต้องเข้าที่ กสศ. ทั้งหมด เข้ามาเป็นส่วนน้อยก็ได้ โดยมีข้อแม้ 2 ข้อ คือ เน้นเรื่องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยเฉพาะไม่ใช่จับจ่ายเหมือนงบปกติหลายแสนล้าน และต้องเติมงบประมาณให้ผูกกับผู้เรียน เป็นดีมานด์ไซด์ไฟแนนซิ่งโดยมีเงื่อนไขต้องเปลี่ยนผู้เรียนให้ได้ ไม่ได้เติมไปในระบบราชการปกติที่เป็นฝั่งซัพพลายไซด์” ผจก.กสศ. กล่าว

นพ.สุภกร กล่าวต่อว่า กลุ่มเป้าหมายของ กสศ. ตามมาตรา 5 เริ่มตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงวัยเรียนทั้งในระบบและนอกระบบ ไปจนถึงทรัพยากรมนุษย์ที่พ้นวัยเรียนแล้ว รวมทั้งหมดประมาณ 4 ล้านคน แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัดทำให้ทำให้ต้องหาวิธีการใช้งบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด บอร์ดของ กสศ. ไม่ได้คิดเรียกร้องเงินจำนวนมาก โดยทาง กสศ. ได้ศึกษางานขององค์กรวิจัยระดับโลก

ล่าสุดศึกษาจากผู้ได้รับรางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์ ปี 2562 ว่าจะทำอย่างไรให้ใช้เงินคุ้มค่าเกิดผลกระทบกว้าง และในเร็วๆ นี้จะมีนักวิจัยเจ้าของรางวัลโนเบลมาช่วย กสศ. ทำงานว่าจะทำอย่างไรให้เงินที่ได้รับคุ้มค่ามากที่สุด ที่สำคัญ กสศ. ใช้งานวิจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่มุ่งเน้นการวิจัยตีพิมพ์ เพราะถ้าจะทุ่มงบให้ประชาชนทุนคนต้องใช้งบประมาณหลายสิบเท่าที่ได้รับในปัจจุบัน หน้าที่ กสศ. จึงต้องชี้เป้าหมายว่าถ้าจะปฏิรูปประเทศลดเหลื่อมล้ำการศึกษาจะใช้แบบใดถึงสำเร็จ

นพ.สุภกร กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการประเมินผล เช่น โครงเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข ซึ่งในปี 2561 ครอบคลุมงบกว่า 90% ปี 62 ครอบคลุมงบประมาณ 70% ซึ่ง กสศ. วางระบบประเมินไว้จากฐานงานวิจัย 4 โครงการ 1.ธนาคารโลก ซึ่งได้ประเมินว่าระบบมาตรการเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข (CCT) จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้เป็นอย่างดี ซึ่ง กสศ. ใช้แนวทางนี้ในการช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษ ว่าเมื่อรับเงินอุดหนุนแล้วต้องมาโรงเรียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80

2.วิจัยบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาของประเทศไทย ว่าควรเติมงบประมาณให้กับเด็กกลุ่มนี้เท่าไหร่ 3.การวิจัยปฏิรูประบบการคัดกรองความยากจน สามารถชี้วัดดัชนีความยากจนตั้งแต่จนน้อยสุดถึงจนมากสุด ซึ่งนักเรียนที่มารับทุนต้องมีความยากจนร้อยเปอร์เซ็นต์ และ4.การวิจัยด้วยระบบสารสนเทศ ซึ่งแอปพลิเคชั่นในการติดตามประเมินผล จะตามดูเรื่องผลการเรียน อัตราการเจริญเติบโต น้ำหนักส่วนสูง ถือเป็น KPI ที่ติดตั้งในระบบของ กสศ.

“กสศ.เน้นเรื่องคุณภาพไม่เน้นเรื่องปริมาณ อย่างทุนสายอาชีพเราช่วยได้เพียงรุ่นละ 1% ของเด็กรุ่นเดียวกันที่มีความยากจน ถ้าไม่เน้นคุณภาพอาจต้องใช้เงินจำนวนมากและอาจไม่ได้ผล นอกจากนี้โครงการต่างๆ ของ กสศ. จะเน้นเรื่องคุณภาพมากกว่าปริมาณ เพราะว่าการจัดงบประมาณอาจเสียเงินไป ดังนั้นการคิดโครงการแต่ละอย่างต้องตกผลึกและทำได้จริงไม่เป็นสเกลใหญ่” นพ.สุภกร กล่าว

ด้านนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า งบประมาณที่รัฐจัดสรรให้กองทุน กสศ. ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับภารกิจ และวัตถุประสงค์ของ กสศ. ทำอย่างไรให้ กสศ. แก้ปัญหาให้ได้ตรงเป้าให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาที่ดี แต่ตอนนี้มีการจัดสรรให้นักเรียนยากจนพิเศษ 5 แสนราย เงินอุดหนุน 1,600 บาทต่อปี หรือวันละ 4.50 บาท เงินจำนวนเท่านี้จะสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้ไหม เท่านี้เงินก็หมดกองทุนแล้วจะลดความเหลื่อมล้ำอย่างไร

“ตนเป็นอนุกรรมาธิการกองทุนและองค์กรมหาชน พบว่ามีหลายกองทุนที่มีเงินมากมายมหาศาล เช่น กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บางกองทุนมีเงินเป็นหมื่นล้าน พันล้าน เอาเงินไปใช้สะเปะสะปะ ในขณะที่กองทุน กสศ. สามารถช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสจริง แต่กลับได้รับงบประมาณน้อยมาก นี่คือความเหลื่อมล้ำตั้งแต่การบริหารกองทุน ควรนำเงินเหล่านั้นมาแบ่งให้กองทุนนี้” นายอัครเดช กล่าว

ด้านน.ส.วรรณวรี ตะล่อมสิน พรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า อ่านรายงานประจำปีแล้วมีความหวังกับประเทศนี้ว่าเป็นกองทุนลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างแท้จริง แต่พออ่านจบความหวังริบหรี่ เพราะ กสศ. ได้รับงบประมาณน้อย

ทั้งที่ กสศ. เป็นกองทุนที่ดีมาก เสียดายได้รับจัดสรรงบไม่เพียงพอ ถ้าท่านนายกรัฐมนตรีได้ยินเสียงนี้ อยากให้ช่วยจัดสรรงบให้เพียงพอตามที่กองทุนนี้ต้องการ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่กองทุนบรรลุเป้าหมาย ประเทศนี้บรรลุยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แต่การลดความเหลื่อมล้ำยังช่วยเติมความฝันเด็กนักเรียนในประเทศไทย เติมความฝันพ่อแม่ ท่านนายกฯ ที่เป็นคุณพ่อน่าจะเข้าใจเรื่องนี้

ขอให้กองทุนจัดสรรงบประมาณให้แก่โครงการพัฒนาต้นแบบการพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัยมากกว่านี้ จากเดิมงบประมาณ 115 ล้านบาท และควรเพิ่มพื้นที่ กทม.ให้เป็นจังหวัดที่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบ พ่อแม่ส่วนใหญ่ในกทม. มีอาชีพใช้แรงงาน พนักงานบริษัทระดับล่าง ต้องฝากลูกไว้กับปู่ย่าตายายต่างจังหวัด ถ้ากทม.มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ทำให้พ่อแม่ไม่ต้องกังวล ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพราะสิ่งที่พ่อแม่ต้องการง่ายมาก คืออยู่กับลูก เห็นพัฒนาการทุกวัน

“ขณะนี้ยังมีปัญหาความด้อยคุณภาพของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก กทม. เช่น เขตบางคอแหลม ซึ่งเป็นเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน สถานที่ไม่สะอาดไม่ปลอดภัย ไม่ถูกสุขลักษณะ ไม่เหมาะสมกับเด็ก ยังมีปัญหาเรื่องค่าแรงของบุคลากรที่ได้รับ จำนวนครูต่อนักเรียนไม่พอ งบประมาณที่ได้รับไม่เพียงพอ ให้ของที่ไม่ได้ต้องการ เช่น ได้สีน้ำมันสำหรับทากำแพง ซึ่งไม่เหมาะอย่างยิ่งกับเด็กเล็ก ถ้ามีทางเลือกใครจะฝากชีวิตลูกไว้ในศูนย์แบบนี้” น.ส.วรรณวรี ระบุ