‘เมียนมา’ รุกพัฒนา 'ทุนมนุษย์' ป้อนตลาดแรงงาน 4.0
ผู้นำเมียนมา ประกาศรุกพัฒนาทุนมนุษย์ป้อนตลาดแรงงานยุค 4.0 หลังเห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่เทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่คน
เมียนมา เป็นประเทศส่งออกแรงงานไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก ซึ่งประเทศที่แรงงานเมียนมานิยมทำงานมากที่สุดคือไทย รองลงมาคือ มาเลเซีย สิงคโปร์ จีน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) หากแต่ขณะนี้ รัฐบาลเมียนมามองเห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานที่เทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่คน จึงส่งเสริมและพัฒนาแรงงานให้มีทักษะด้านดิจิทัล หวังสร้างขุมพลังกลุ่มใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 4.0
“ออง ซาน ซูจี” ประธานที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมา โชว์วิสัยทัศน์ในเวที ASEAN Business and Investment Summit (เอบิส) 2019 ซึ่งได้กำหนดธีมหลักในเรื่องเพิ่มขีดความสามารถอาเซียน 4.0 เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในหมู่ภาคเอกชนใน 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงในยุคอุตสาหกรรมครั้งที่ 4ได้อย่างดี
ผู้นำเมียนมา ย้ำว่า รัฐบาลเมียนมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ ด้วยการให้ความรู้ด้านเทคโนโลยี และเน้นพัฒนาคนในประเทศให้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ หวังยกระดับแรงงานเมียนมาให้เป็นแรงงานมีทักษะตามที่ตลาดเศรษฐกิจดิจิทัลในเมียนมาและอาเซียนต้องการ
ในระยะ 1 - 2 ปีที่ผ่านมา เมียนมา พยายามอย่างเต็มที่ในการยกระดับทักษะแรงงานของประเทศ เพื่อให้ได้รับการจ้างงานในอัตราที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับชี้ว่า รัฐบาลเมียนมามุ่งดำเนินตามนโยบายเมียนมา 4.0 ส่งเสริมการก่อตั้งโรงงานอัจฉริยะ ภายในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษหลายแห่งในประเทศ
"นโยบายเมียนมา 4.0 ได้ถูกบูรณาการเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม ซึ่งแรงงานมนุษย์จะมีบทบาทในการทำงานร่วมกับเครื่องจักรมากขึ้น เพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ และปูพื้นฐานเตรียมความพร้อมให้แรงงานในประเทศ สามารถปรับตัวรับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกที่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจได้"ซูจี กล่าว
ซูจี ยังมีความเห็นว่า เอ็มเอสเอ็มอี เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมียนมาที่สำคัญ ดังนั้น “การสร้างสภาพแวดล้อม” ที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินธุรกิจเอ็มเอสเอ็มอี จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน และเชื่อว่าประชาชนทุกระดับจะได้ประโยชน์ร่วมกัน
"นโยบายหนึ่งที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทันทีคือ “การพัฒนาทุนมนุษย์” แม้ว่าในภาพรวมขององค์ประกอบที่สนับสนุนการก้าวไปสู่เศรษฐกิจ 4.0 ยังไม่พร้อมทั้งหมด อาทิ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การวางโครงข่ายโทรคมนาคมบอร์ดแบนด์ที่มีประสิทธิภาพ การพัฒนาระบบงานราชการอิเล็กทรอนิกส์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และระบบไอซีที" ประธานที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมา กล่าว
รัฐบาลเมียนมา มีมุมมองในเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจไปสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่4 โดยได้ผลักดันการปฏิรูประบบการทำงานของรัฐ และจัดทำโรดแมป ที่มีความสอดคล้องกับวาระเพื่อการปฏิรูปประเทศให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล
“รัฐบาลเมียนมายังต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และกฎระเบียบของประเทศ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติให้มากขึ้น ” ซูจี กล่าวย้ำ
นอกจากนี้ เมียนมายังตั้งเป้าที่จะพัฒนายุทธศาสตร์ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงเครื่องมือสื่อสารอย่างทั่วถึงภายในปี 2565 รวมไปถึงเทคโนโลยี 5จี และความร่วมมือด้านเทคโนโลยีไร้พรมแดน เพื่อเพิ่มโอกาสในการค้าและการลงทุน
ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อน ซูจี ได้ผลักดันนโยบายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆหลายด้าน หลังก้าวขึ้นมารับตำแหน่งผู้นำประเทศ โดยเฉพาะนโยบายด้านแรงงาน ซึ่งสนับสนุนให้แรงงานเมียนมาที่ทำงานในต่างประเทศย้ายกลับเมียนมามากขึ้น หลังจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แรงงานเมียนมานิยมไปทำงานต่างประเทศ จนเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม
ปัจจุบันนี้ รัฐบาลเมียนมาตื่นตัวอย่างมากกับการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของเมียนมา ได้เริ่มร่างแผนแม่บทเพื่อดำเนินการตามโรดแมปการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัล ระหว่างปี 2561 - 2568
จากรายงานเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรัม ปี 2562 บ่งชี้ว่า เส้นทางการก้าวไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของเมียนมายังมีหนทางอีกยาวไกล เนื่องจากปัจจัยความพร้อมในด้านต่างๆ ที่ยัง ทำให้เมียนมารั้งอยู่ในอันดับสุดท้ายของสมาชิกอาเซียน
"ตอง ถิ่น" อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศของเมียนมา ยอมรับว่า เมียนมายังขาดกรอบดำเนินการทางกฎหมายด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ หรือกฎหมายที่ควบคุมการทำธุรกรรมทางออนไลน์หรือ อีคอมเมิร์ซ แต่รัฐบาลเมียนมา พยายามผลักดันให้ชาวเมียนมาเข้าถึงระบบการเงิน เริ่มต้นจากการเปิดบัญชีธนาคารและเข้าถึงการใช้บัตรเครดิต
“ในจำนวนคนเมียนมา 80 คน จะพบว่ามี 10 คนที่ไม่มีบัญชีธนาคาร ซึ่งจะต้องดึงพวกเขาเหล่านี้เข้าสู่ระบบการเงินพื้นฐานให้ได้” ตอง ถิ่น กล่าว
ขณะเดียวกัน ตอง ถิ่นก็ตั้งข้อสังเกตว่า โครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม อินเทอร์เน็ต และดิจิทัลของเมียนมาในขณะนี้ ได้รับการพัฒนารุดหน้าไปมาก เมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีก่อน โดยมีชาวเมียนมาเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น วัดจากจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟน 85% และผู้เข้าถึงซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือ 100%
ส่วน "ตุน ทูรา" หนึ่งในคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของเมียนมา มองว่า การเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนผลักดันนโยบายและนำไปสู่การปฏิบัติให้พร้อมรับมือกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งถึงเวลาแล้วที่เมียนมาต้องขยับตัวให้ทันโลก เพราะ 15% ของจีดีพีทั่วโลกมาจากเศรษฐกิจดิจิทัล โดยสหรัฐมีจีดีพีจากเศรษฐกิจดิจิทัลมากที่สุดในสัดส่วน 35%