คืบหน้าเจรจาการค้าหนุนดาวโจนส์พุ่งเกือบ 200 จุด

คืบหน้าเจรจาการค้าหนุนดาวโจนส์พุ่งเกือบ 200 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันพฤหัสบดี(7พ.ย.)ปรับตัวขึ้นเกือบ 200จุด แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้ปัจจัยบวกจากความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 182.24 จุดหรือ 0.66% ปิดที่ 27,674.8 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 8.4 จุด หรือ 0.27% ปิดที่ 3,085.18 จุด และดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวขึ้น 23.89 จุดหรือ 0.28% ปิดที่ 8,434.52 จุด

สำนักข่าวซินหัวของทางการจีน รายงานว่า จีน กำลังพิจารณาที่จะยกเลิกข้อจำกัดต่อการนำเข้าสัตว์ปีกจากสหรัฐ โดยจีนสั่งห้ามนำเข้าสัตว์ปีกและไข่จากสหรัฐนับตั้งแต่เดือนม.ค.2558 หลังเกิดการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก ทำให้การส่งออกสัตว์ปีกของสหรัฐทรุดตัวลง หลังจากที่เคยส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกมากถึง 390 ล้านดอลลาร์ไปยังจีนในปี 2557 แต่หลังจากนั้น ตัวเลขส่งออกดังกล่าวก็หดตัวลงเหลือเพียง 74 ล้านดอลลาร์ในปี 2558

รายงานดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์จีน แถลงว่า สหรัฐและจีนได้ตกลงกันที่จะทยอยยกเลิกการจัดเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าของแต่ละฝ่ายที่มีการกำหนดขึ้นในช่วงที่สหรัฐและจีนทำสงครามการค้าก่อนหน้านี้

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐรายหนึ่งระบุว่า การพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน เพื่อลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรก อาจมีการเลื่อนออกไปเป็นเดือนธ.ค. จากเดิมที่มีกำหนดในเดือนนี้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังคงต้องเจรจากันต่อไป รวมทั้งหารือกันเกี่ยวกับการหาสถานที่ในการลงนามข้อตกลง โดยมีการเสนอชื่อสถานที่หลายแห่ง ได้แก่ กรีซ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และอลาสก้า

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ระบุว่า กรุงลอนดอนมีแนวโน้มที่จะเป็นสถานที่ในการลงนามข้อตกลงการค้า เนื่องจากปธน.ทรัมป์ และปธน.สี จิ้นผิงอาจพบปะกันที่กรุงลอนดอน หลังจากที่ปธน.ทรัมป์เสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ในวันที่ 3-4 ธ.ค. ส่วนรัฐไอโอวา ซึ่งปธน.ทรัมป์เสนอให้เป็นสถานที่ลงนามข้อตกลงนั้น ขณะนี้มีแนวโน้มว่าจะไม่ได้รับการคัดเลือก

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 8,000 ราย สู่ระดับ 211,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงสู่ระดับ 215,000 ราย