พิษเทรดวอร์ ฉุด กำไรสุทธิ 'พีทีทีจีซี' ไตรมาส3/62 ร่วง79 %

พิษเทรดวอร์ ฉุด กำไรสุทธิ 'พีทีทีจีซี' ไตรมาส3/62  ร่วง79 %

'พีทีที โกลบอล'ไตรมาส 3/62 กำไรสุทธิ 2.66 พันล้านบาท ลดลง 79 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน เหตุ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ลดลง จากผลกระทบเทรดวอร์ รวมถึงขาดทุนสต็อกน้ำมัน ส่งผลงวด 9 เดือน62 มีกำไรสุทธิ 1.13 หมื่นล้านบาท ลดลง 69 %

น.ส. ดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,663.33 ล้านบาท ลดลง 79 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 12,792.58 ล้านบาท เนื่องจาก มีรายได้จากการขายลดลง 23 % มาอยู่ที่ 105,154 ล้านบาท จากไตรมาส 3ปี 2561 อยู่ที่ 136,712 ล้านบาท เพราะ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โดยรวมที่ปรับตัวลดลงจากความกังวลเรื่องผลกระทบของสงครามการค้า ซึ่งส่งผลทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว
รวมถึงความผันผวนของราคาน้ำมันดิบดูไบ และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ ทำให้บริษัทรับรู้ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและรายการกลับรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Loss Net Reversal of NRV) ขาดทุนสุทธิ 372 ล้านบาท ส่งผลทำให้ งวด 9เดือน 2562 มีกำไรสุทธิ 11,308.25 ล้านบาท ลดลง 69 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 36,008.03 ล้านบาท เพราะ ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีลดลง จากผลกระทบสงครามการค้าเป็นหลัก

สำหรับแนวโน้มน้ำมันในปี 2563 คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 58-65  ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ยังคงคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโลกปี 2563 อยู่ที่่ระดับ101.6 ล้านบาร์เรลต่อวันหรือ เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน (รายงานประจำเดือนกันยายน 2562) แต่ตลาดน้ำมันดิบปีหน้ายังคงมีความไม่แน่นอน จากประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนร กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)ปรับลดคาดการณ์จีดีพี ปีหน้า ลงเหลือ 3 % กดดันความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก แม้กลุ่มโอเปคและรัสเซียมีความพยายามตกลงในการตรึงกำลังการผลิต แต่ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น


สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในปี 2563 บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 19-20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการของ lnternational Marine Organization (IMO) ในการควบคุมระดับกำมะถันในน้ำมันเตาที่ใช้ในอุตสาหกรรมเดินเรือ ทำให้มีความต้องการในการไช้น้ำมันดีเซลเข้าไปผสมเพื่อให้ได้มาตรฐาน ในขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมันเตากำมะถันสูงคาดว่าจะมีการปรับตัวลดลง โดยคาดว่าจะมีการปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระมาณ -14 ถึง -13 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล และส่วนต่างแก๊ซโซลีนปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9-13 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
โดยในส่วนของน้ำมันเตาที่มีสดส่วนกำมะถันสูงคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินตามนโยบาย IMO ขณะที่ส่วนต่างน้ำมันแก๊ซโซลีนน่าจะได้รับประโยชน์จากการที่โรงกลั่นในตลาดหันไปผลิตน้ำมันดีเซลมากขึ้น ทำให้อุปทานในตลาดลดลง ทั้งนี้ในส่วนของการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นของบริษัทฯนั้นไม่มีแผนการหยุดซ่อมบำรุง คาดว่าการใช้กำลังการมลิตทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 100
ส่วนแนวโน้มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ บริษัทฯคาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในปี 2563 จะอยู่ที่ระมาณ 320-330 ดอลลาร์ต่อตัน ลดลงจากปี 2562เ นื่องจากอุปทานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอุปทานใหม่จากระเทศจีน ในขณะที่อุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรม เส้นใยและสิ่งทอ (Fiber Filament) กรดเทเรฟทาริคบริสุทธิ์ (PTA) และขวดบรรจุภัณฑ์ (PET Bottle Resin) ยังคงอยู่ในระดับที่ดี สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 170-180 ดอลลาร์ ต่อตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2562 เนื่องจากอุปสงค์จากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ขั้น กลาง เช่น สไตรีนโมโนเมอร์ (Styrene monomer) ฟีนอล (Phenol) โดยในปีหน้าบริษัทฯ มีแผนการหยุดซ่อมบำรุงหน่วยผลิตอะโรมติกส์2 ในไตรมาส 1 เป็นเวลา 19 วัน คาดว่าการใช้กำลังการผลิตทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 95

ด้านแนวโน้มของสถานการณ์ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในปี 2563 มีแนวโน้มที่จะลดลงจากปี 2562 เล็กน้อย ทั้งนี้ราคาผลิตภัณฑ์ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของการเจรจาจากประเด็นความขัดแย้งทางด้านการค้า ซึ่งปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนและยังไม่สามารถบรรลุถึงข้อตกลงทางการค้าได้ และจากผลดังกล่าวคาดว่าจะมีอุปทานใหม่จากประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาในภูมิภาคมากขึ้น รวมถึงกำลังการผลิตใหม่ที่จะปรับเพิ่มขึ้นมากในภูมิภาค ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวคาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE ในปีหน้าจะอยู่ราว 910-1,030 ดอลลาร์ต่อตัน สำหรับสถานการณ์ราคา MEG คาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากปี 2562 แม้ว่าจะมีอุปทานใหม่ที่ทยอยเข้ามาในภูมิภาคแต่อุปสงค์การใช้งานของตลาดผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ โดยเฉพาะ Polyester ในจีนจะยังคงเติบโตได้ดีตามสภาพเศรษฐกิจของประเทศ บริษัทฯ คาดว่าราคา
MEG ASP เฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 580-620 ดอลลาร์ต่อตัน โดยคาดว่าการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยทั้งปีของธุรกิจโอเลฟินส์จะอยู่ที่ 98 % จากากรหยุดซ่อมบำรุงของโรงโอฟินส์ 2/1 เป็นเวลา 39 วัน และ โรงโอเลฟินส์ 2/2 อีก 35 วัน ส่วนธุรกิจโพลิเมอร์จะใช้กำลังการผลิตที่ 101 %