แกว่งตัว ติดตามงบ 3Q19

แกว่งตัว ติดตามงบ 3Q19

คาด SET แกว่งตัว 1,615 – 1,630 จุด

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index อ่อนตัวลงเล็กน้อย -2.88 จุด (-0.18%) ปิดที่ระดับ 1,624 จุด ด้วย Volume 6.2 หมื่นล้านบาท โดยแม้ว่ากนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เป็น 1.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดการแข็งค่าของเงินบาทส่งผลให้มีแรงซื้อในกลุ่ม ETRON และ FIN อย่างไรก็ตามดัชนีถูกแรงขายทำกำไรตามสัญญาณเทคนิคหลังไม่ผ่านแนวต้าน 1,630 จุดส่งผลให้อ่อนตัวลงปิดลบ ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 660 ล้านบาท แต่ขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 271 ล้านบาท และ Net Short TFEX จำนวน 8,926 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นกลางคาด SET แกว่งตัว 1,615 – 1,630 จุด โดยแม้ว่าภาวะตลาดจะได้แรงหนุนจากความคาดหวังการเจรจาการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐ-จีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ แต่ล่าสุดมีกระแสข่าวว่าการลงนามข้อตกลงอาจเลื่อนไปเป็นเดือนธ.ค.เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังคงต้องเจรจาร่วมกันต่อรวมถึงหาสถานที่ในการลงนาม นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.9 ล้านบาร์เรล รวมถึงแรงขายหุ้นรายตัวที่คาดว่างบ 3Q19 ชะลอตัว และ Fund flow ต่างชาติที่ยังคงชะลอตัวจะกดดันต่อทิศทางการลงทุนให้ผันผวนสูง

** วันนี้ติดตามการประกาศงบ 3Q19 ของ PTTGC และ BCP

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • หุ้นที่คาดงบ 3Q19 เติบโต BGRIM, BCH, CHG, EPG, TASCO ,PRM, JMT, JMART, BGC ,WORK ,MINT
  • กลุ่มไฟแนนซ์ MTC, SAWAD ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยระดับต่ำ
  • Defensive stock AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, TTW, CPALL

หุ้นแนะนำวันนี้

  • GFPT (ปิด 14.5 ซื้อ/เป้า 19.5) ราคาหุ้นลดลงสะท้อนเหตุการณ์ไฟไหม้ที่โรงงานในสมุทรปราการไปแล้ว ขณะที่ GFPT จะได้ผลบวกจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าส่งผลดีต่อธุรกิจส่งออกของ GFPT ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็น 25% ของรายได้ทั้งหมด และล่าสุดได้ข่าวดีจากการที่จีนให้ใบอนุญาติส่งออกไก่ให้กับ GFPT เพิ่มอีก 1 โรงงาน
  • JMART (ปิด 10.2 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 11.7 บาท) คาดผลกำไรเติบโตต่อเนื่องจากธุรกิจในกลุ่มบริษัทลูกเดินหน้าสร้างผลกำไร นำโดย JMT, SINGER และ J -asset ขณะเดียวกันธุรกิจมือถือของ JMART ได้ประโยชน์โดยตรงจากมาตรการชิมช้อปใช้เฟส 2 เนื่องจากเป็นสินค้าเป้าหมายที่ประชาชนจะเข้าซื้อเพื่อรับส่วนลดที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการของรัฐ โดยเฉพาะโทรศัพท์ I Phone 11 ที่เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว

บทวิเคราะห์วันนี้

AP (ปิด 6.75 ปรับลดเป็นถือ/เป้าใหม่ 7.6 เดิม 9.3), MAJOR (ปิด 24.9 ถือ/เป้าใหม่ 28 เดิม 30), PTTEP (ปิด 123.5 ซื้อ/เป้า 135)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) Trade war ยังมีความเสี่ยง ล่าสุดมีข่าวสหรัฐกับจีนอาจเลื่อนลงนามข้อตกลงการค้าออกไปเป็นเดือน ธ.ค.: Trade war ยังเป็นปัจจัยลบหลัก และ เป็นปัจจัยที่มีความไม่แน่นอนเหมือนเดิม (พลิกไปพลิกมา) ล่าสุดสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่าการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน เพื่อลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรก อาจมีการเลื่อนออกไปเป็นเดือน ธ.ค. จากเดิมที่มีกำหนดในเดือนนี้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังคงต้องเจรจาการค้าเพิ่มเติม รวมทั้งหารือกันเกี่ยวกับการหาสถานที่ในการลงนามข้อตกลง ข่าวดังกล่าวทำให้ตลาดกังวลว่าการเจรจาระหว่างจีนกับสหรัฐอาจจะยืดเยื้อออกไปอีก (เลื่อนเดือน พ.ย.แล้ว ธ.ค.จะเลื่อนอีกหรือไม่)
  • (+) แบงก์ชาติลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด พร้อมออก 4 มาตรการลดการแข็งค่าของเงินบาท: วานนี้ กนง.มีมติลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จาก 1.5% เป็น 1.25% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อพยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากมีแนวโน้มต่ำกว่าที่ประเมินจากการส่งออกที่ลดลงเพราะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าเพื่อสะท้อนผลดังกล่าวแบงก์ชาติยังส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยในปีนี้ลงอีกจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 2.8% นอกจากนี้แบงก์ชาติยังออก 4 มาตรการเพื่อลดการแข็งค่าของค่าเงินบาท คือ 1) ยกเว้นการนำเงินรายได้จากการส่งออกกลับประเทศ, 2) เปิดเสรีให้นักลงทุนรายย่อยไปลงทุนต่างประเทศ, 3) เปิดเสรีการโอนเงินออกนอกประเทศได้ทุกวัตถุประสงค์ และ 4) อนุญาติให้ผู้ค้าทองคำชำระราคาในรูปแบบเงินตราต่างประเทศได้
  • (+/-) ดอกเบี้ยลดเป็นลบต่อกลุ่มแบงก์ เป็นบวกกับกลุ่มไฟแนนซ์ เช่าซื้อ อสังหาฯ และ กลุ่มส่งออก จากค่าเงินบาทอ่อนค่า: แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยเรามองเป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นโดยรวม โดยมีหุ้นที่ได้ผลบวกโดยตรงจากดอกเบี้ยลดลงคือ กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ (TISCO, KKP) และ ไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD) เพราะมีโครงสร้างรายได้เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ขณะที่ต้นทุนลดลงตามดอกเบี้ยนโยบาย อีก 1 กลุ่มคืออสังหาฯ โดยกลุ่มนี้มองเป็นบวกในแง่ของ Sentiment เท่านั้น เพราะประชาชนยังไม่กล้าซื้อสินทรัพย์ที่มูลค่าสูงเนื่องจากยังไม่มั่นใจกับภาวะเศรษฐกิจและยังมีแรงกดดันจากเกณฑ์ LTV ของแบงก์ชาติ และสุดท้ายเป็นกลุ่มส่งออกที่คาดว่าจะได้ผลบวกจากแนวโน้มของค่าเงินบาทอ่อนค่า อาทิ อิเล็กฯ และกลุ่มสินค้าเกษตร (เน้นกลุ่มสินค้าเกษตรเพราะอิเล็กฯยังมีความไม่แน่นอน Trade war) ส่วนกลุ่ม ธนาคารเป็นกลุ่มที่จะได้ผลกระทบจากดอกเบี้ยลดลง อย่างไรก็ตามเรามองว่าราคาหุ้นจะไม่ลดลงแรง เพราะตลาดคาดว่าครั้งนี้จะเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายของปีนี้และจะพักการลดดอกเบี้ยเหมือน Fed ทำให้ Downside ระยะสั้นลดลง ขณะที่ Valuation ของหุ้นกลุ่มแบงก์ค่อนข้างต่ำจึงมองผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะไม่มากเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา