วุ่นไม่จบ! 'ประจักรษ์ โพธิผล' แถลงยันตัวแทนลิขสิทธิ์โดยตรง สู้ปมเด็กทำกระทงละเมิดสิทธิ์

วุ่นไม่จบ! 'ประจักรษ์ โพธิผล' แถลงยันตัวแทนลิขสิทธิ์โดยตรง สู้ปมเด็กทำกระทงละเมิดสิทธิ์

"ประจักรษ์ โพธิผล" แถลงข่าวโต้ ระบุเป็นตัวจากญี่ปุ่นโดยตรง ย้ำไม่ใช่คนสั่งจองกระทงให้เด็กมาถูกจับกุม ขณะที่ทนายความชื่อดังย้ำ หากถูกล่อให้กระทำความผิด

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ที่ร้านกาแฟในซอยลาดพร้าว 15 นายประจักรษ์ โพธิผล ตัวแทนลิขสิทธิ์บริษัทการ์ตูนแห่งหนึ่ง ได้ชี้แจงต่อสื่อมวลชนหลังตกเป็นจำเลยสังคม หลังแจ้งความที่ สภ.เมืองนครราชสีมา เพื่อเอาผิดกับเด็กสาววัย 15 ปี ก่อนนัดหมายเพื่อซื้อกระทงลายการ์ตูนละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งมีโทษปรับ 50,000 บาท แต่ภายหลังได้เจรจากับครอบครัวเด็กและต่อรองเหลือ 5,000 บาท กระทั่งบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ได้ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่าไม่ได้มอบหมายให้ผู้ใดจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ตามที่ถูกกล่าวอ้าง

นายประจักรษ์ กล่าวว่า ภายหลังบริษัท TAC ออกแถลงการณ์ว่า ไม่ได้มอบหมายให้ผู้ใดเข้าจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นั้น เนื่องจากบริษัทดังกล่าวเป็นฝ่ายดูแลการจัดจำหน่าย ส่วนบริษัท เวอริเซ็ค จำกัด ที่ตนเป็นพนักงานนั้น เป็นฝ่ายปราบปรามโดยตรง ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตนได้รับมอบหมายให้ดำเนินการด้านลิขสิทธิ์

ส่วนเรื่องการรับเงิน 50,000 บาทนั้น คาดว่าเป็นความเข้าใจผิดทางแง่กฎหมาย ที่ระบุใน พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ม.31 ว่าผู้กระทำผิดต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 50,000-400,000 บาท กรณีของเด็กคือการทำซ้ำและดัดแปลงลวดลายตัวการ์ตูน ซึ่งตำรวจมีหลักฐานว่า น้องได้ลงขายมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา


จากนั้น เมื่อตำรวจเชิญตัวเด็กมาโรงพัก เพื่อเจราจาไกล่เกลี่ยความเสียหายแล้ว ตนในฐานะผู้รับมอบอำนาจมีสิทธิ์ในการตัดสินใจทางคดี และเห็นแก่เด็กจึงถอนแจ้งความ ส่วนเงิน 5,000 บาท ก็ถือเป็นค่าเสียหายที่ต้องส่งให้กับบริษัทตามสิทธิ์ ซึ่งตนก็มีรางวัลนำจับมูลค่าต่ำกว่า 50 เปอร์เซนต์ ยืนยันว่า ดำเนินการทางกฎหมายทั้งกับรายใหญ่หรือรายย่อย

อย่างไรก็ตาม ตนไม่ใช่คนที่สั่งจองกระทงกับเด็ก เพื่อให้มาถูกจับกุมและไม่มีใครมาเค้นสอบในห้องมืดตามที่เป็นข่าว ซึ่งห้องที่สอบสวนเป็นห้องประชุม และวันนั้นไม่ได้เปิดแอร์ จึงออกมาตามบันไดข้างนอกห้อง ยืนยันว่าไม่มีใครบังคับให้เซ็นต์ยอมรับความผิด ส่วนรายละเอียดทางคดี ตนไม่ขอเปิดเผย ทั้งนี้ หากทางครอบครัวหรือบุคคลใดจะแจ้งความกลับ เนื่องจากมองว่าพวกตนเป็นแก๊งตกทรัพย์ก็ยินดี เพราะตนบริสุทธิ์ใจและมีหลักฐาน รวมถึงหนังสือมอบอำนาจที่ไม่สามารถขายให้กันได้


ทางด้าน ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายคลายทุกข์ กล่าวว่า ในคดีนี้ หากเป็นตามที่เด็กบอกว่า ตนเองถูกว่าจ้างให้ประดิษฐ์กระทง และนัดหมายให้มาส่งของเพื่อที่จะถูกจับกุม มีภาษาเทคนิคว่า “ล่อให้กระทำความผิด” ต่างกับการล่อซื้อที่หมายความว่า ผู้ที่ถูกล่อได้กระทำความผิดจริงอยู่แล้ว ในส่วนนี้ต้องตรวจสอบจากพนักงานสอบสวนว่า มีข้อเท็จจริงอย่างไร ขณะเดียวกัน ศาลฏีกามีคำพิพากษาเป็นแนวทางหลายคดี ว่าผู้ที่ถูกล่อให้กระทำผิดนั้น ไม่มีความผิด อีกทั้งตำรวจไม่มีอำนาจจับกุมสอบสวน