ไทย-จีนเร่งรถไฟไฮสปีด เคลียร์ปมสัญญาระบบราง

จีนหนุนพัฒนาอีคอมเมิร์ซ

ด้านนายกรัฐมนตรีจีน กล่าวว่า ได้มีการหารือกับนายกรัฐมนตรีไทยตั้งแต่การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 35 ซึ่งหลายอย่างคืบหน้า เช่น การใช้แพลตฟอร์มของอีอีซีในการพัฒนาการลงทุนของจีนในไทย รวมทั้งจีนพร้อมสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิทัล และระบบอีคอมเมิร์ซให้มีการพัฒนาร่วมกันทุกด้าน

“ไทย-จีน เราเหมือนลงเรือลำเดียวกัน ความสัมพันธ์เหมือนกับเรือขนาดใหญ่ที่ล่องอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา หากสามารถที่จะติดเครื่องยนต์ให้แล่นได้เร็วเหมือนกับเรือหางยาวของไทยความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศก็จะไปได้เร็ว ไปได้ไกล และมั่นคง” นายหลี่ กล่าว

ส่วนการเจรจาข้อตกลงความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) เป็นที่น่ายินดีว่าจากการทำงานร่วมกันของชาติสมาชิกตลอด 15 ระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา สามารถบรรลุข้อตกลงในระดับแถลงการณ์ของผู้นำในการประชุมอาเซียนที่ผ่านมา และภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 จะประกาศใช้ร่วมกัน

จ่อหารือคณะทำงานไฮสปีด

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ในการหารือระหว่างไทย-จีนครั้งนี้ ได้หารือความคืบหน้าโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพฯ-หนองคาย หรือ รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน โดยหลังจากนี้จะมีการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างไทย-จีน (JCC) เพื่อหาข้อสรุปที่ยังค้างคาอีกครั้ง

“ตอนนี้ยังเหลือเรื่องเดียวที่ค้างอยู่ คือ เรื่องสกุลเงินในสัญญา 2.3 งานระบบที่ฝ่ายจีนเป็นผู้รับจ้าง ซึ่งเรื่องนี้ต้องหารือในรายละเอียดกันอีกครั้ง เบื้องต้นได้มอบหมายใก้กรมการขนส่งทางราง เป็นผู้ประสานทางจีนว่ามีความพร้อมมาหารือในรายละเอียดเมื่อไหร่ กำลังดูวันกันอยู่ แต่คาดว่าจะไม่เกินเดือนนี้ เพรราะถ้าจบได้ไม่เกินปลายเดือนนี้ หรือต้นเดือนหน้า ก็จะต้องลงนามสัญญาร่วมกัน”

หาข้อสรุปสกุลเงินในสัญญา

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุว่า ประเด็นของความร่วมมือในโครงการดังกล่าวที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ประกอบไปด้วย กรณีกำหนดสกุลเงินดอลลาร์ในร่างสัญญา 2.3 งานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟ และฝึกอบรมบุคลากร ซึ่งส่วนนี้ทางฝ่ายจีนจะเป็นผู้ดำเนินการ โดยก่อนหน้านี้ฝ่ายจีนมีข้อเสนอ 2 ทางเลือก คือ 1.กรณีกระทรวงการคลังใช้เงินกู้จากแหล่งเงินกู้ในประเทศเป็นสกุลเงินบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ชำระค่างานเป็นสกุลเงินดอลลาร์

โดยทางเลือกดังกล่าวมีข้อดี คือ บรรลุผลของสัญญาได้ง่าย หากค่าเงินบาทของไทยมีอัตราที่แข็งค่าขึ้น จะใช้งบประมาณน้อยลง ประกอบกับดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศมีอัตราต่ำ เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่กู้จากจีน ทำให้ภาพรวมภาระของโครงการต่ำกว่า แต่มีข้อเสีย คือ ฝ่ายไทยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มหากเงินบาทอ่อนค่าลง

2.กรณีใช้เงินกู้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (China EXIM) หากกระทรงการคลังบรรลุข้อตกลงการกู้เงิน เป็นสกุลเงินดอลลาร์และ ร.ฟ.ท.ใช้ชำระค่างานเป็นสกุลเงินดอลลาร์ จะไม่กระทบกับกรอบวงเงินภาพรวมชองโครงการอย่างมีนัยยะสำคัญ

โดยข้อดี คือ เป็นการกู้เงินดอลลาร์ 85% ของมูลค่าแห่งสัญญา มาจ่ายดอลลาร์ แต่มีข้อเสีย คือ เงื่อนไขสัญญาการกู้เงินละเอียดอ่อน เช่น การบังคับให้ใช้อนุญาโตตุลาการ หรือการให้ต้องมีการแปลเอกสารจำนวนมาก รวมถึงการดำเนินการให้ได้มาซึ่งสิทธิของกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่จะดำเนินโครงการมาทั้งหมดก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาในการดำเนินการ รวมทั้งอาจไม่มีความคล่องตัวในการเบิกเงินค่างวดงาน

รฟท.เสนอใช้สกุลเงินบาท

รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการ ร.ฟ.ท.มีมติใช้สกุลเงินบาทในร่างสัญญา 2.3 ซึ่งพบว่ามีข้อดีเป็นการประกันราคาที่ฝ่ายไทยใช้ในการชำระค่างานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากรให้มีความคงที่ ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต ในกรอบวงเงิน 50,633 ล้านบาท ขณะที่ฝ่ายจีน ซึ่งเป็นผู้รับจ้าง จะเป็นผู้รับความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินของงานดังกล่าวเอง

แต่แนวทางที่บอร์ด ร.ฟ.ท.มีมติ ขณะนี้ฝ่ายจีนยังคงไม่ตอบรับการใช้เงินสกุลเงินบาทเพื่อกำหนดไว้ในสัญญาดังกล่าว รวมทั้งแนวทางนี้ยังมีข้อเสนอที่อาจมีผลจ่อความสำเร็จของโครงการ เนื่องจากต้องมีการเจรจาในการประชุมระหว่างฝ่ายไทย – จีนครั้งต่อไป และไม่สามารถประกันได้ว่าจะบรรลุข้อตกลงได้โดยง่าย เนื่องจากฝ่ายจีนเห็นว่าอัตราแลกเปลี่ยนของไทยในขณะนี้ มีอัตราที่แข็งค่าค่อนข้างสูง และมีความพยายามจะทำให้อ่อนค่าลงเพื่อผลักดันการส่งออกในอนาคต