ทนายเตือนตร. ระวังถูกใช้เป็นเครื่องมือ 'แก๊งลิขสิทธิ์ตบทรัพย์'

ทนายเตือนตร. ระวังถูกใช้เป็นเครื่องมือ 'แก๊งลิขสิทธิ์ตบทรัพย์'

ทนายดังแนะกรณีตำรวจล่อซื้อเด็กวัย 15 ทำกระทงละเมิดลิขสิทธิ์ ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ากระทำผิดมาก่อนหน้านั้นหรือไม่ ชี้หากเป็นการว่าจ้างจะเข้าข่ายใช้สิทธิ์โดยมิชอบ เตือนตำรวจระวังถูกใช้เป็นเครื่องมือแก๊งลิขสิทธิ์ตบทรัพย์

จากกรณีเด็กหญิงวัย 15 ปี ถูกตัวแทนลิขสิทธิ์ดำเนินการล่อซื้อจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ หลังจากมีคนโทรมาสั่งให้ประดิษฐ์กระทงลายการ์ตูนดัง แต่หลังจากเด็กนำกระทงไปส่งให้ กลับโดนตัวแทนลิขสิทธิ์กับตำรวจจับกุม พร้อมเรียกเงินค่าปรับจำนวน 50,000 บาท เพื่อเป็นการไกล่เกลี่ย

นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ เจ้าของเพจสายตรงกฎหมาย เปิดเผยว่า กรณีนี้จะเป็นการล่อซื้อ หรือว่าจ้าง ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า เด็กทำการละเมิดลิขสิทธิ์มาก่อนหน้านั้นหรือไม่ เพราะหากเด็กไม่เคยทำมาก่อนเลย แต่ถูกว่าจ้างให้ทำ ผู้แจ้งจับหรือเจ้าของลิขสิทธิ์ หรือตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ถือว่าเป็นการใช้สิทธิ์โดยไม่ชอบ และอาจเข้าข่ายความผิดฐานแจ้งความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 173 ที่ระบุว่า ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่า ได้มีการกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6,000 บาท ทั้งนี้กรณีที่เกิดขึ้นอาจไม่เข้าข่ายองค์ประกอบตามมาตรา 173 ครบทั้งหมด เนื่องจากเด็กวัย 15 ปีได้มีการกระทำความผิดจริง ซึ่งอาจเป็นการถูกใส่ร้าย หรือปรักปรำแทนได้

นอกจากนี้อยากฝากไปถึงตำรวจตามโรงพักต่างๆ ทั่วประเทศ ที่รับแจ้งความสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ว่า ระวังจะตกเป็นเครื่องมือของแก๊งลิขสิทธิ์ตบทรัพย์ ที่เที่ยวหากินกับพ่อค้าแม่ค้ารายเล็กรายน้อย ซึ่งเคยมีคดีลักษณะนี้เกิดขึ้นมากมาย โดยแก๊งนี้มักใช้ข้อกฎหมายมาอ้าง แล้วไปข่มขู่คู่กรณี โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา ที่หารายได้เสริมตามเว็บไซต์ต่างๆ ถูกจับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ จนต้องยอมจ่ายเงินหลักหมื่นบาทไปถึงหลักแสน เพื่อแลกกับการถูกดำเนินคดี เสร็จแล้วทำสัญญายอมความกันบนโรงพักต่อหน้าตำรวจ เนื่องจากคดีลักษณะนี้เป็นคดีแพ่ง สามารถเจรจายอมความกันได้ เพียงแค่เหยื่อนำเงินมาจ่าย

ทนายรัชพล ยังฝากคำแนะนำไปยังครอบครัวของน้องวัย 15 ปีว่า ควรร้องไปยังกองทุนยุติธรรม เพื่อขอให้ช่วยเหลือเรื่องเงินประกันตัวมาต่อสู้คดี เพื่อเป็นคดีตัวอย่าง ไม่ให้เกิดกรณีแบบนี้กับบุคคลอื่นอีก