“ไรมอนแลนด์”พลิกพอร์ตรุกอาเซียน ดันโมเมนตัมธุรกิจโต 5 ปี

“ไรมอนแลนด์”พลิกพอร์ตรุกอาเซียน ดันโมเมนตัมธุรกิจโต 5 ปี

“ไรมอน แลนด์” กลุ่มธุรกิจที่ปักธงพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทยมา 32 ปี มีโครงการพัฒนา 5,238 ยูนิต มูลค่าลงทุนรวม 65,000 ล้านบาท ล่าสุดมีกลุ่มผู้ถือหุ้นเป็นชาวสิงคโปร์ในนามบริษัทเจเอส ออยล์ พีทีอี ลิมิเต็ด (JS Oil Pte. Ltd.)

โดยมุ่งพัฒนาอสังหาฯระดับหรู (Luxury)ราคาตั้งแต่10ล้านขึ้นไป ทำให้ปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุดในสัดส่วน 13.2% จากจำนวนยูนิตทั้งหมด โดยมองว่าเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว น้อยกว่าตลาดกลางล่าง  

ปรากฎการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้นักพัฒนาอสังหาฯหลายราย หันมาจับตลาดหรูมากขึ้น ทำให้สมรภูมิรบเกมลักชัวรี่มีผู้เล่นเต็มตลาด ขณะที่กำลังซื้อที่เคยมีมากมายกลับลดลง จากผลกระทบสงครามการค้า โดยเฉพาะต่างชาติที่เคยเป็นกำลังซื้อหลักเริ่มยากขึ้น ทำให้ “ไรมอนด์ แลนด์” ต้องพลิกเกมธุรกิจหนีคู่แข่งไปอีกสเต็ป 

ไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดเผยถึงการวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจในช่วงปลายปี2562 และปี2563ว่า ตลาดอสังหาฯในไทยยังเผชิญกับจำนวนที่อยู่อาศัยแนวสูง(คอนโดมิเนียม)สูงกว่าความต้องการ ประกอบกับสถานการณ์สงครามการค้าโลก ส่งผลกระทบทำให้เกิดความไม่แน่นอนในกำลังซื้อชาวต่างชาติ ทำให้บริษัทต้องปรับโมเดลธุรกิจใหม่รองรับกับความไม่แน่นอนนี้ ด้วยการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างประเทศ จากที่เคยลงทุนในไทย 100% โดยจะเริ่มต้นใช้แผนนี้ในปี 2563 ซึ่งงบประมาณการลงทุนมูลค่า2-3หมื่นล้านบาท จะถูกกระจายความเสี่ยงไปลงทุนอสังหาฯในอาเซียน สัดส่วน50% ของการลงทุนใหม่ในไทย ขณะเดียวกันยังตั้งเป้าหมายว่า ในระยะไม่ต่ำกว่า2-3ปีจากนี้ สัดส่วนธุรกิจในต่างประเทศจะมีประมาณ 35-40% ของธุรกิจในไทย

“เมืองไทยยังคงลงทุนต่อเนื่อง แต่สภาพตลาดค่อนข้างได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก เราจึงต้องกระจายความเสี่ยง หาพันธมิตรลงทุนอสังหาฯในต่างแดน เริ่มต้นที่อาเซียน”

เขายังกล่าวว่า สำหรับโครงการที่พักอาศัย (Resident)ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี2563 จะมีประมาณ2-3โครงการ มูลค่า10,000ล้านบาท เริ่มต้นจากโครงการ ดิ อาร์ท มอร์(The Art More)สุขุมวิท38มูลค่า8,200ล้านบาทมีแผนจะเปิดตัวในช่วงไตรมาสที่3ของปี2563และอีกโครงการอยู่ระหว่างสุขุมวิทที่กำลังเจรจาโอนที่ดินจำนวน5ไร่ ขณะเดียวกันจะเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส (Mixed Use)กลุ่มประเทศอาเซียน ในไตรมาสแรกของปี2563 มูลค่าโครงการคาดว่าไม่ต่ำกว่าประมาณ6,000-7,000ล้านบาท

นอกจากนี้ยังจะเปลี่ยนโมเดลธุรกิจการพัฒนาคอนโดในไทย จากเดิมที่มุ่งเน้นการพัฒนาเป็นที่พักอาศัยเพื่อขาย ไปเน้นการพัฒนาคอนโดเพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ซื้อเพื่อการลงทุนเป็นหลัก (Investment) เพื่อรองรับตลาดผู้พักอาศัยที่มีจำกัดหากเทียบกับจำนวนซัพพลายในตลาด โดยการพัฒนาโครงการคอนโดในรูปแบบการปล่อยเช่าเป็นโรงแรมเพื่อเป็นการสร้างรายได้ประจำ(Recurring Income)และขยายความต้องการของผู้ซื้อคอนโด

ทั้งนี้แผนการสร้างรายได้ประจำ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจระยะยาว5ปี (ปี2562-2566)วางเป้าหมายสร้างรายได้10,000ล้านบาท มาจากการพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ที่สร้างรายได้ประจำ สัดส่วน30% หรือมูลค่า3,000ล้านบาทในปี2566 ประกอบด้วย รายได้จากการอาคารสำนักงานให้เช่าพื้นที่100,000ตร.ม. มูลค่า1,000ล้านบาท และธุรกิจโรงแรม มูลค่า1,000ล้านบาท และการขยายสาขาธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในอาเซียนมูลค่า1,000ล้านบาท

สำหรับอาคารสำนักงานให้เช่ากำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการOne City Centre (OCC)สำนักงานระดับลักชัวรี่ (เกรดA)อยู่ระหว่างก่อสร้าง ขนาดพื้นที่รวม61,000ตร.ม. คาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยในปี2565และวางแผนพัฒนาให้เพิ่มเป็น100,000ตร.ม.ในโครงการอื่นๆ ภายใน5ปี

และยังมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการโรงแรมแห่งใหม่2โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า2,000ล้านบาท ประกอบด้วย คิทช์ โฮเทล (KITCH HOTEL)เป็นแบรนด์ที่พัฒนาแนวคิด โรงแรมที่เน้นความหลากหลายของอาหาร (Food Hotel)ตั้งอยู่หน้าคอนโดมิเนียมThe Riverเจริญนคร จำนวน72ห้อง อัตราค่าพักอยู่ที่1,400-1,600บาทต่อคืน จับตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดีย ที่ชื่นชอบการกิน และสนใจเรียนรู้วัฒนธรรมจากอาหารไทย นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างเลือกเชนโรงแรมที่เข้ามาร่วมบริหารโครงการที่กลุ่มธุรกิจไรมอน แลนด์พัฒนาขึ้นมา รวมทั้งสิ้น1,400ห้องภายใน5ปี

ทางด้านธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มได้ร่วมทุนกับแบรนด์ร้านอาหารไทย “บ้านหญิง” โดยRMLถือหุ้น51%ที่จะพัฒนาร้านอาหารไทยบุกต่างประเทศ โดยสาขาแรกเปิดร้านบ้านหญิงที่สิงคโปร์แล้ว1สาขา ลงทุนมูลค่า 10-12ล้านบาทเพื่อนำร้านอาหารไทยรุกต่างประเทศเริ่มต้นจากอาเซียน จากนั้นมีแผนขยายไป ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ภายใน2-3ปี 

ขณะเดียวกันมีการนำแบรนด์ ติงติง (Dink Dink)ร้านอาหารไทยจานเดียวรุกไปไต้หวัน เช่น ก๋วยเตี๋ยว เป็นแบรนด์นำร่องในการทดสอบความต้องการของตลาด และศึกษาระบบซัพลายเชนวัตถุดิบ คาดว่าจะเปิดติงติง สาขาใต้หวัน ในสิ้นปี2562อีกหนึ่งสาขา ตั้งเป้าหมายขยายเพิ่มอีก3-4สาขา ในปี2563