Trade war คืบหน้า

Trade war คืบหน้า

ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นหลังแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐลดลงจะเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานและภาวะตลาด

ตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์

SET Index ปรับตัวลง -8.97 จุด (-0.56%) ปิดที่ระดับ 1,593 จุด ด้วย Volume 4.8 หมื่นล้านบาท จากแรงกดดันสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่ไม่แน่นอนหลังเจ้าหน้าที่จีนแสดงความไม่มั่นใจเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้าในระยะยาวกับสหรัฐ ประกอบกับมีแรงขายกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงและแรงขายกลุ่ม ICT เป็นตัวถ่วงดัชนี ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,005 ล้านบาท และ Net Short TFEX จำนวน 6,461 สัญญา แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 891 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นบวกคาด SET ดีดตัวขึ้นทดสอบ 1,600 – 1,605 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว ตาม Sentiment เชิงบวกตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นตอบรับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง รวมถึงข่าวสหรัฐ-จีนบรรลุฉันทามติหลักการต่างๆด้านการค้าเฟสแรกซึ่งคาดว่าจะลงนามข้อตกลงได้ในช่วงกลางเดือนพ.ย. นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นหลังแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐลดลงจะเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานและภาวะตลาดอีกด้วย อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีจะมีสลับอ่อนตัวจากแรงกดดัน Fund flow ต่างชาติที่ยังคง Net sell ต่อเนื่อง รวมถึงความผันผวนของหุ้นรายตัวที่คาดว่างบ 3Q19 ชะลอตัวจะเป็นตัวถ่วงต่อภาวะตลาด

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • หุ้น Global play (PTTEP TOP) อานิสงส์สหรัฐ-จีนบรรลุฉันทามติหลักการต่างๆด้านการค้าเฟสแรก
  • หุ้นที่คาดงบ 3Q19 เติบโต GPSC, BGRIM, BCH, CHG, EPG, TASCO ,PRM, JMT, JMART, BGC ,WORK
  • กลุ่มไฟแนนซ์ MTC, SAWAD ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยระดับต่ำ
  • Defensive stock AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, TTW, CPALL

หุ้นแนะนำวันนี้

  • BBL (ปิด 174 ซื้อ/เป้า Bloomberg consensus 212 บาท) กลุ่มธนาคารราคาหุ้นลดลงสะท้อนภาพรวมธุรกิจที่อ่อนแอไปมากแล้ว ขณะที่ Valuation เริ่มน่าสนใจ หลายหลักทรัพย์ Trade ต่ำกว่า BVPS เราเลือก BBL เป็น Top pick ของกลุ่ม เนื่องจากเน้นปล่อยสินเชื่อกลุ่มลูกค้า Corporate ทำให้มีความเสี่ยงจากปัญหา NPLs น้อยกว่าคู่แข่งที่เน้นรายย่อยและ SMEs
  • PTTEP (ปิด 120 ซื้อ/เป้า 135) ได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันดิบกลับมาฟื้นตัว และไม่มี Over hang จากงบ 3Q19 มากวนใจเพราะประกาศงบไปแล้ว ขณะที่แนวโน้มงบ 4Q19 จะยังเด่นสุดของกลุ่ม PTT เพราะมีแรงหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากการรับรู้การผลิตจากแหล่งเมอร์ฟี่ที่ซื้อเข้ามาเต็มไตรมาส

บทวิเคราะห์วันนี้

BGRIM (ปิด 47.8 ขาย/เป้า 37), INTUCH (ปิด 64.25 ซื้อ/เป้า 82), Macro Strategy (เล่นวนไป)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) Trade war จีนกับสหรัฐ มีพัฒนาการทางบวกหลังจีนและสหรัฐบรรลุฉันฑามติเพื่อยุติข้อพิพาทการค้า (เฟส 1) ร่วมกันแล้ว: เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับข่าวดีอีกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่ของจีนและสหรัฐออกมาเปิดเผยในทิศทางเดียวกันว่า จีนและสหรัฐ ได้บรรลุฉันฑามติเพื่อยุติข้อพิพาทการค้า (เฟส 1) ร่วมกันแล้ว หลังจากมีการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ระหว่าง นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน กับนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดหาสถานที่เพื่อลงนามร่วมกันในระดับประธานาธิบดี ข่าวดีดังกล่าวช่วยหนุนให้ดัชนีดาวโจนส์บวกแรงกว่า 300 จุด (+1.11%) ปิดที่ระดับ 27,347 จุด ขณะที่ S&P500 พุ่งทำ All time high ต่อเนื่อง
  • (+) กลุ่มธุรกิจน้ำมัน - ได้ข่าวดีน้ำมันดิบบวกแรง จากแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐลดลงและตอบรับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐและจีนที่เริ่มฟื้นตัว: ราคาน้ำมันดิบ WTI บวกแรงกว่า 2.02 ดอลลาร์ หรือ 3.7% ปิดที่ 56.20 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนทั้งจากด้าน Supply และ Demand คือ 1) แท่นขุดเจาะน้ำมันดิบในสหรัฐลดลงอีก 5 แท่นเป็น 691 แท่น ต่ำสุดในรอบ 2 ปี 5 เดือน และ 2) ตัวเลขเศรษฐกิจจีนและสหรัฐออกมาดี โดยเฉพาะดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีน (จัดทำโดยไคชิน) เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 51.7 จาก 51.4 ในเดือน ก.ย. ส่วนฝั่งของสหรัฐรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ต.ค.เพิ่มขึ้น 128,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 89,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานขยับขึ้นเล็กน้อยจาก 3.5% เป็น 3.6%
  • (+) ปัจจัยที่ต้องติดตาม ลุ้นกนง.ลดดอกเบี้ย และ การประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยประกาศงบกันมากขึ้นในสัปดาห์นี้: เราเชื่อว่านักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การประชุมของ กนง.ในวันพุธนี้ โดยตลาดส่วนใหญเชื่อว่า กนง.จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จาก 1.5% เป็น 1.25% ด้วยเหตุผลคือ 1) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลัง GDP ของไทยขยายตัวในอัตราต่ำ ,2 )เพื่อช่วยเหลือภาคส่งออกเนื่องจากปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับ US มากสุดในภูมิภาค และ 3 )อัตราเงินเฟ้อบ้านเราต่ำมากล่าสุดอยู่ที่ระดับ 0.11% จาก 0.32% ในเดือน ก.ย. จึงไม่จำเป็นที่เราจึงตรึงหรือขึ้นดอกเบี้ย ส่วนประเด็นอื่นส่วนใหญ่จะเป็นการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนโดยสัปดาห์นี้ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทในกลุ่มปิโตรฯและโรงกลั่น แต่ส่วนใหญ่คาดว่างบจะออกมาไม่ดีหรือบางบริษัทอาจรายงานผลขาดทุนสุทธิ อย่างไรก็ตามเนื่องจากราคาหุ้นในกลุ่มนี้ลดลงมามากแล้วทำให้ผลกระทบหลังประกาศงบอาจมีไม่มาก