ผลกระทบของการตัด GSP ของสหรัฐฯ ต่อไทย?

GSP (Generalized System Preference) คือ สิทธิพิเศษทางภาษีที่ประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศให้กับประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย

โดยไม่ต้องเสียภาษีสินค้าศุลกากร เพื่อช่วยให้ประเทศที่ได้รับสิทธิสามารถส่งออกสินค้าไปแข่งกับสินค้าจากประเทศที่พัฒนาแล้วได้   การให้สิทธิ GSP นี้เป็นการให้แบบฝ่ายเดียว (unilateral) คือประเทศที่ให้สิทธิ GSP ไม่ได้เรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนจากประเทศผู้รับ แต่กำหนดเงื่อนไขของประเทศที่จะได้รับสิทธิ GSP ซึ่งประเทศผู้ให้วางไว้ เช่น ในกรณีของประเทศสหรัฐฯ ประเทศผู้มีสิทธิได้รับ GSP ต้องมีรายได้ของประชากรต่อหัว (GNP per capita) ไม่เกิน 12,735 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี  ต้องเป็นประเทศที่ไม่สนับสนุนหรือเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายระหว่างประเทศ ต้องมีการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในระดับที่ดีพอสมควร มีการคุ้มครองสิทธิแรงงานตามมาตรฐานสากล มีความพยายามในการขจัดการใช้แรงงานเด็ก และมีเงื่อนไขอื่น ๆ ในด้านการค้าและการปฏิบัติต่อสหรัฐอย่างเท่าเทียมกับประเทศอื่น เป็นต้น  ดังนั้นสหรัฐฯ จึงมีสิทธิขาดในการกำหนดว่าจะให้ใครหรือไม่ให้ใคร คงเป็นเรื่องลำบากที่ประเทศไทยจะไปเรียกร้องขอความเป็นธรรมจาก​สหรัฐฯ สิ่งที่ทำได้ คือ อธิบายเพิ่มเติมกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในกรณีที่มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน แต่การตัดสินใจสุดท้ายก็ยังคงขึ้นอยู่กับสหรัฐฯ  

อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดการให้สิทธิ GSP มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สหัสวรรษใหม่ หรือ พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา  โดยในปี 2561 มีมูลค่าเท่ากับ 23,000 ล้านเหรียญดอลลาร์ สรอ. คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 1 ของมูลค่านำเข้ารวมทั้งหมดของสหรัฐฯ ลดลงจากกว่าร้อยละ 2 ในปี พ.ศ. 2539   นอกจากนั้นจะเห็นได้ว่าประเทศที่ได้สิทธิ GSP กระจุกตัวสูงมาก เช่น ในปี 2561 ประเทศที่ได้รับสิทธิ GSP มากที่สุด 5 ประเทศแรกจากทั้งสิ้น 168 ประเทศทั่วโลก มีมูลค่ารวมคิดเป็นร้อยละ 75 ของมูลค่าการนำเข้าตามสิทธิ GSP ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 68 ในปี 2539  แนวโน้มการกระจุกตัวดังกล่าวชี้ให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ ใช้สิทธิ GSP ดังกล่าวเป็นเครื่องมือหนึ่งในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ รวมไปถึงนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศแทนที่จะเป็นการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศรายได้ต่ำจริงๆ ซึ่งถ้าเป็นเช่นประการหลังควรจะเห็นการกระจายตัวของการให้สิทธิ GSP เพิ่มมากขึ้น

ประเทศไทยเป็นประเทศที่ได้รับสิทธิ GSP จากสหรัฐฯ เป็นลำดับอันดับต้น ๆ มาตลอดตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา ดังนั้นการตัดสิทธิ GSP จึงเป็นไปได้ที่จะถูกนำมาเป็นเครื่องมือการเจรจาต่อรองของสหรัฐฯ เพื่อใช้ในการกดดันให้ประเทศไทยดำเนินนโยบายไปในทิศทางที่สหรัฐฯ ต้องการ

วันนี้มีหลายฝ่ายเชื่อว่าเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยถูกตัดสิทธิ GSP มาจาก การแบนยาฆ่าหญ้ายอดนิยมอย่างพาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส ตามมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายเมื่อ 22 ตุลาคม 2562  ซึ่งสหรัฐฯ​ ยังมีการอนุญาตให้ใช้ในผลผลิตการเกษตรหลายประเภทที่ส่งมาจำหน่ายยังประเทศไทย อาทิ ข้าวโพด ถั่วเหลือง นอกเหนือจากประเด็นเรื่องการจัดตั้งสหภาพแรงงานต่างด้าว แต่ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร สหรัฐฯ ยังมีสิทธิขาดในการตัดสินว่าจะให้หรือไม่ให้สิทธิ  ท่าทีการเจรจาจึงขึ้นอยู่กับขนาดความเสียหายที่มาจากการตัดสิทธิ GSP กับเศรษฐกิจไทยว่าเป็นเท่าใดเมื่อเทียบกับข้อเรียกร้องต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ จะต่อลองกับรัฐบาลไทย

เราพบว่าในปี พ.ศ. 2561 เรามีสินค้า 1,439 รายการจากทั้งสิ้น 5,398 รายการที่สหรัฐฯ นำเข้าจากประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มอุปกรณ์​และเครื่องจักรกล  เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า และ ยานพาหนะ  กลุ่มอาหารทะเลไม่ว่าจะเป็นกุ้งแปรรูป หรือปลาทูน่ากระป๋องซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยังสหรัฐฯ นับหมื่นล้านในแต่ละปี แต่ไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะการส่งออกสินค้าเหล่านี้ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เสียภาษีศุลกากรปกติ ไม่ได้ใช้สิทธิ GSP มากนัก  และหากสหรัฐฯ ตัดสิทธิ GSP และทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องจ่ายภาษีศุลกากร ขนาดของผลกระทบน่าจะจำกัดเพราะภาษีศุลกากรสินค้าเหล่านี้ค่อนข้างต่ำและสินค้าส่งออกของไทยมีความอ่อนไหวทางด้านราคาค่อนข้างจำกัด จากการประมาณการณ์ของผู้เขียน ขนาดความเสียหายต่อมูลค่าการส่งออกอยู่ระหว่าง 21.6-81.1 ล้านเหรีย​ญดอลลาร์ สรอ. บนสมมติฐานที่ว่าทุก ๆ สินค้าโดนตัดสิทธิ์พร้อมกัน เราเชื่อว่าการประเมินก่อนหน้าที่ในสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีมูลค่าสูงถึงหลายหมื่นล้านบาทน่าจะเกิดจากประมาณการณ์มูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทยไปสหรัฐฯ​ ซึ่งไม่ถูกต้องนัก  แต่ในความเป็นจริงมูลค่าการใช้สิทธิ GSP เป็นเพียงไม่ถึง 1 ใน 5 ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทยไปสหรัฐฯ เท่านั้น

ขนาดของผลกระทบจากการตัดสิทธิ GSP ของสหรัฐฯที่จำกัดน่าจะลดแรงกดดันต่อผู้กำหนดนโยบายของไทยในการเจรจาต่อรองและทำให้สามารถกำหนดท่าทีการเจรจาได้ดีขึ้น  อย่างไรก็ตามเราคงไม่สามารถยึดติดว่าประเทศไทยต้องได้สิทธิ GSP ตลอดไปดังสะท้อนจากที่ผ่านมาที่สหรัฐฯ ทยอยลดการให้สิทธิ GSP กับประเทศต่าง ๆ  ดังนั้นประโยชน์ที่จะได้จากการขอยืดสิทธิ GSP จึงมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ  ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้สหรัฐฯ ตัดสิทธิ GSP กับไทยเป็นอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประเทศไทยควรหลีกเลี่ยงคือการเก็บภาษีตอบโต้ดังที่เกิดขึ้นในกรณีของอินเดียและพาประเทศเข้าสู่สงครามการค้า

เป็นที่น่าสังเกตุว่าการตัดสิทธิ GSP แม้ไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงแต่เกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาที่ผู้ประกอบการกำลังเผชิญอย่างรุนแรงไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทที่มากที่สุดในภูมิภาค และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง  ในระยะสั้นภาครัฐจำเป็นต้องติดตามความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน  เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าแนวโน้มดุลการค้า/ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และเป็นสิ่งที่ต้องปล่อยไปตามกลไกตลาดในระยะปานกลาง  แต่ในระยะสั้นการดูแลความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลงค่าเงินยังเป็นสิ่งจำเป็น ในขณะเดียวกันภาครัฐและผู้ประกอบการคงต้องเร่งปรับตัวในส่วนของการพยายามเปิดตลาดใหม่ให้กับสินค้าเดิมที่ส่งออกอยู่แล้ว ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการเปิดตลาดใหม่ของสินค้าเดิมมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง