ลงตามเพื่อนบ้าน

ลงตามเพื่อนบ้าน

ดัชนีวานนี้ปิดปรับตัวลงเล็กน้อย และปรับตัวไร้ทิศทางในระหว่างวัน คล้ายกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่อยู่ในแดนบวกสลับลบ หลังจากหลังเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามคาด  

นอกจากนี้ ตาดภายในประเทศยังจับตาการเผยผลประกอบการของงวดไตรมาส 3/2562 ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,601.49 จุด (-0.34 จุด) Volume 6.4 หมื่นลบ. ต่างชาติ -3,867.12 ลบ. TFEX Net +2,891 สัญญา ตลาดตราสารหนี้ +396 ลบ.

ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ

-ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 140.46 จุด -0.52% กังวลทิศทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนหลังจากทั้งสองฝ่ายส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกัน รวมทั้งข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอของภาคการผลิตทั้งในสหรัฐและจีน

-ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกในเดือนต.ค.ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2558 และต่ำกว่าคาดการณ์เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคตของ GDP สหรัฐ 

-สหรัฐเปิดเผยตัวเลขศก.แผ่วลง อาทิ จำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานสหรัฐสูงกว่าคาด ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.ย.ทรงตัวเป็นเดือนที่ 2 และการใช้จ่ายผู้บริโภคในเดือนก.ย.เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.2% ตามคาด

-ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 88 เซนต์ -1.6% ปิดที่ 54.18 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานว่ากลุ่มโอเปกผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในเดือนต.ค. และสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้นมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา

-ธปท.รายงานภาพรวมเศรษฐกิจและการเงินเดือนก.ย. 62 และ Q3/62 ว่า ศก.ไทยยังอยู่ในภาวะชะลอตัว คาด GDP Q3/62 อาจไม่ถึงเป้าที่ 2.9%

-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD -1.3 หมื่นลบ. ค่าเงินบาท 30.18 บาท/US

*จับตาสหรัฐเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค. ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนต.ค.ดัชนีภาคการผลิตและการใช้จ่ายก่อสร้าง

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตามทิศทางตลาดต่างประเทศ จากข่าวที่จีนไม่มีความมั่นใจในการทำข้อตกลงการค้าระยะยาวกับสหรัฐ ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลต่อประเด็นดังกล่าว ประกอบกับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงต่อเนื่อง คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,590-1,610 จุด

 

กลยุทธ์การลงทุน

  • หุ้นเด่นเดือนต.ค. (JUBILE ARROW TNP)
  • Sector ที่แข็งกว่าตลาด HELTH (BH BCH) และ TRANS (AOT BEM และ BTS)

หุ้นรายงานพิเศษ

TNH “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 39.5 บาท

(-) ปี 2562 (งวดระยะเวลาบัญชี 1 ปีสิ้นสุด 31 ก.ค. 2562) บริษัทมีกำไรสุทธิลดลง 11%YoY เหลือเพียง 318 ล้านบาท สวนทางกับรายได้ค่ารักษาพยาบาลเท่ากับ 2,155 ล้านบาท ขยายตัว 1%YoY เนื่องจากการปรับขึ้นเงินเดือนพนักงาน ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการได้รับการต่ออายุสัญญาค่าตอบแทนสิทธิการเช่าที่ดิน 

(+/-) คาดกำไรปี 2563 - 2564 ราว 323 ลบ. และ 345 ลบ. ตามลำดับ CAGR 4.2% ต่อปี (เติบโตในอัตราที่ลดลงจากอดีตที่เติบโตถึง 11% ต่อปี) ด้วยสมมติฐานอัตราการเติบโตของจำนวนผู้ป่วยนอก 2.6% อัตราการเติบโตของรายได้ผู้ป่วยนอกต่อคน 3.5% และอัตราการเติบโตของจำนวนเตียงที่ใช้บริการ 4% และอัตราการเติบโตของรายได้ผู้ป่วยใน 4% ขณะที่ อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 27.1% ใกล้เคียงกับ 26.7% ในปี 2562 และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อรายได้เท่ากับ 10% เพิ่มขึ้นจาก 9.7% ในปี 2562 เนื่องจากค่าเช่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นหลังต่อสัญญาค่าเช่าอีก 30 ปี

ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวที่มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ  การประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี PER อิง Prospect PER ที่ระดับ 22 เท่าซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลในตลาด mai แต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลในตลาด SET ที่ซื้อขายที่ระดับเกือบ 28 เท่า  โดยประเมินกำไรต่อหุ้นปี 2563 เท่ากับ 1.79 บาท ได้ราคาเหมาะสมเท่ากับ 39.50 บาทสำหรับปี 2563 พร้อมคาดการณ์เงินปันผลหุ้นละ 0.57 บาทคิดเป็น yield  1.7%

หุ้นมีข่าว   

·         (+) TMILL (ถือรับปันผล ราคาเหมาะสม 3.36) ไฟเขียวจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.08 บาท กำหนดจ่ายวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562  (ที่มา ทันหุ้น)

·         (+) ADVANC (Bloomberg Consensus 249.73 บาท)   แจ้งกำไรสุทธิ 3Q19 ที่ 8.7 พันล้านบาท +12%QoQ และ +28%YoY โดยมีสาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดน้อยลงเทียบกับไตรมาสก่อน และค่าเช่าเสาและอุปกรณ์ลดลงจากการระงับข้อพิพาทกับทีโอที ส่งผลให้ EBITDA เติบโตขึ้นเป็น 21,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +11%QoQ และ +19%YoY บริษัทยังคงเป้าประมาณการทั้งปีนี้รายได้จากการให้บริการหลักเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับกลาง EBITDA Margin ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 43.4% และใช้งบลงทุนที่ประมาณ 2.0-2.5 หมื่นล้านบาท พร้อมมุ่งพัฒนานวัตกรรมและเตรียมความพร้อมองค์กรสู่ยุค 5G ในอนาคต

·         (+/-) BGC (Bloomberg Consensus 15.73 บาท)  ทุ่มงบ 100 ล้านบาท ซื้อหุ้นและได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในหุ้น TWC สัดส่วน 25% จาก BG เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รุกธุรกิจรับซื้อ-คัดแยก และขายเศษแก้ว-เศษกระดาษ-เศษโลหะ (ที่มา ข่าวหุ้น)

·         (+) DCON (Bloomberg Consensus - บาท) แย้มแผนปี 63 เล็งพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่ม 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท ล่าสุดขน 3 โครงการ จัดแคมเปญ คุ้มสุด ฉุดไม่อยู่” หวังปิดการขายภายในไตรมาส 1/63 (ที่มา ข่าวหุ้น)

·          (+) TK (Bloomberg Consensus 10.60 บาท)  ลุยเปิดสาขาแรกในเมียนมา ปล่อยสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ ในอัตราดอกเบี้ย 28% ต่อปี ตั้งเป้าขยายให้ครบ 3 สาขาภายในปี 63 มั่นใจสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20% ก่อนสิ้นปีนี้ (ที่มา ข่าวหุ้น)

·         (+) PRM (Bloomberg Consensus 10.48 บาท)   จับตางบ Q3/2562 กำไรทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 300 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้เรือ FSU อีก 2 ลำและการเข้าถือหุ้น Big Sea เพิ่มอีก 10% เป็น 90% แถมไตรมาสส่งท้ายยังทำกำไรต่อเนื่อง (ที่มา ทันหุ้น)

·         (+) AAV (Bloomberg Consensus 3.90 บาท) พันธมิตร ขยายไลน์ธุรกิจสร้างรายได้เสริมทั้ง Air Cargo, ดิจิ ทราเวล, BIG Royal ครบวงจร ควบคู่ปรับลดต้นทุนดำเนินงานอย่างยั่งยืน ลั่นปี 2563 ศูนย์อบรมพนักงานแล้วเสร็จพร้อมดำเนินการ (ที่มา ทันหุ้น)

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

-'บล.โกลเบล็ก' มองกรอบดัชนีหุ้นไทยโค้งท้าย 1650

-บล.โกลเบล็ก แนะจับตาหุ้นไทย 25 ก.ค.นี้ รัฐบาลใหม่

-หลีกเลี่ยงกลุ่มส่งออก

-เฟดลดดอกเบี้ย

-รีบาวด์ต่อเนื่อง