ศาลสหรัฐไล่ยึดทรัพย์นักธุรกิจมาเลย์

ศาลสหรัฐไล่ยึดทรัพย์นักธุรกิจมาเลย์

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งยึดทรัพย์ นายโจ โลว์ นักธุรกิจใหญ่ชาวมาเลเซีย ที่มีส่วนพัวพันกับการทุจริตกองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติมาเลเซีย (1เอ็มดีบี) เพิ่มเติมอีกเป็นมูลค่าเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์

ข้อความในเอกสารคำร้อง ระบุว่า นายโลว์ ยินยอมให้ทางการยึดบ้านหรูที่ตั้งอยู่ในเขตเบเวอร์รี่ ฮิลส์ ในนิวยอร์ก และอีกหลังในกรุงลอนดอนของอังกฤษ รวมถึงเงินลงทุนในธุรกิจอื่นๆมูลค่ารวมประมาณ 700 ล้านดอลลาร์ ตลอดจนสินทรัพย์ที่มีอยู่ในสหราชอาณาจักรและสวิตเซอร์แลนด์

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เปิดเผยว่า การริบทรัพย์นายโลว์ ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการเพิ่มเติมหลังจากที่เขาถูกยึดเรือยอร์ชมูลค่า 120 ล้านดอลลาร์ และสินทรัพย์อื่น ๆ อีก 140 ล้านดอลลาร์ มาก่อนหน้านี้

ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้น หลังจากที่เจ้าหน้าที่ของมาเลเซียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงบริษัทโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป และ ธนาคารดอยซ์แบงก์ ได้ร่วมกับสืบสวนกรณีการทุจริตกองทุน 1เอ็มดีบี ซึ่งเป็นกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจและระบบสาธารณูปโภคของมาเลเซีย ที่เริ่มก่อตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาลของนายนาจิบ ราชัก อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อปี 2552 โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนกรุงกัวลาลัมเปอร์ให้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงิน โดยมีนายนาจิบ ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการที่ปรึกษากองทุน

กองทุนดังกล่าวเผชิญเรื่องอื้อฉาวหลังมีการสืบพบว่า เงินจำนวน 4.5 พันล้านดอลลาร์สูญหายไปจากกองทุน โดยถูกถ่ายโอนไปยังเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลมาเลเซียหลายคน รวมถึงครอบครัว และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องระหว่างปี 2552-2558

เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา ศาลสูงของกัวลาลัมเปอร์ เปิดการไต่สวนนักแรก ในคดีคอ์ร์รัปชั่นและฟอกเงินรวม 7 จาก 42 กระทง ซึ่งอัยการสั่งฟ้องตั้งแต่กลางปีที่แล้ว และเป็นข้อกล่าวหาที่เชื่อมโยงกับกองทุนวันเอ็มดีบี มีจำเลยคนสำคัญคืออดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ซึ่งในวันนี้นาจิบวัย 65 ปี เดินทางมาขึ้นศาลด้วยตัวเอง ทั้งยังถือเป็นวันครบรอบ 10 ปีที่เขารับตำแหน่งผู้นำมาเลเซียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ปี 2552

นาจิบ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 6 ของมาเลเซีย แต่ถือเป็นอดีตผู้นำรัฐบาลคนแรก ที่ถูกฟ้องร้องชุดใหญ่ในคดีคอร์รัปชั่นและใช้อำนาจโดยมิชอบ ที่รวมถึงการกระทำผิดหน้าที่ของผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลผลประโยชน์แทนผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งการพิจารณาคดีของศาลในวันนี้เน้นหนักไปที่เงิน 42 ล้านริงกิต ซึ่งอัยการกล่าวหานาจิบ ทยอยยักยอกเข้าสู่บัญชีเงินฝากส่วนตัว และพนักงานสอบสวนเชื่อว่า มีการโยกย้ายถ่ายเทเงินจากกองทุนวันเอ็มดีบี ระหว่างปี 2552 ถึง 2557 ประมาณ 18,364.35 ล้านริงกิต

ต่อมาในเดือนต.ค.รัฐบาลมาเลเซีย ประกาศปรับบุคคลทั่วไปและนิติบุคคลรวม 80 รายชื่อ พร้อมทั้งจะมีการสอบสวน ฐานรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งมาจากการทุจริตผ่านกองทุนพัฒนาแห่งชาติวันเอ็มดีบี โดยสำนักงานคณะกรรมาธิการต่อต้านการคอร์รัปชั่น ( เอ็มเอซีซี ) แถลงเรื่องเรียกเก็บค่าธรรมเนียม พร้อมดำเนินการสอบสวนบุคคลทั่วไปและนิติบุคคลรวม 80 รายชื่อ ฐานรับเงินหรือทรัพย์สินที่เป็นการฟอกเงินจากกองทุนพัฒนาแห่งชาติ ( วันเอ็มดีบี )

ในส่วนของบุคคลธรรมดา ซึ่งมีรายชื่อปรากฏอยู่ในบัญชี รวมถึงนายนาเซียร์ ราซัก น้องชายของอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ และนายชาห์รีร์ อับดุล ซามัด อดีตประธานบริษัทเฟลดา รัฐวิสาหกิจด้านปาล์มน้ำมันของมาเลเซีย ซึ่งเอ็มเอซีซี กำหนดเป้าหมายเรียกคืนเงินหรือทรัพย์สินให้ได้มูลค่ารวม 420 ล้านริงกิต

นอกจากนี้ ทางการมาเลเซีย ยังยื่นเรื่องตั้งข้อหาก่ออาชญากรรมต่อผู้อำนวยการ ทั้งอดีตและปัจจุบัน ของวานิชธนกิจโกลด์แมนแซคส์ กรณีทุจริตกองทุนวันเอ็มดีบีด้วย ซึ่งการทุจริตเงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์จากกองทุนวันเอ็มดีบี มีอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ของมาเลเซีย และคนใกล้ชิดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ขณะที่บริษัทโกลด์แมนแซคส์ ถูกตรวจสอบ เนื่องจากมีส่วนช่วยเหลือจัดการเรื่องการออกพันธบัตรมูลค่า 6,500 ล้านดอลลาร์เพื่อการลงทุน

ทอมมี โธมัส อัยการสูงสุด ประกาศตั้งข้อหาล่าสุด พร้อมระบุรายชื่อของผู้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีอื้อฉาวนี้ 17 คน เป็นผู้อำนวยการบริษัทสาขาของโกลด์แมนแซคส์ระหว่างเดือนพฤษภาคม ปี2555 – เดือนมีนาคมปี 2556

นอกจากนี้ ยังมีคดีที่เชื่อมโยงกับการทำธุรกรรมในบริษัทเอสอาร์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นบริษัทลูกของวันเอ็มบีดีด้วย ทั้งยังมีการสืบสวนสอบสวนเรื่องการฟอกเงินของกองทุนวันเอ็มบีดีในหลายประเทศ ทั้งในสหรัฐ สวิตเซอร์แลนด์ และสิงคโปร์