ชู PhillipLife ดูแลการลงทุนและการออม

ชู PhillipLife ดูแลการลงทุนและการออม

ฟิลลิปประกันภัยชู PhillipLife ดูแลการลงทุนและการออม เผยภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แนะนักลงทุนแต่ละประเภทเลือกลงทุนอย่างเหมาะสม

ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐบวกกับการงานการเงินที่มั่นคง เป็นหลักประกันชีวิตที่ในอนาคตใครๆก็ต้องการ ซึ่งการจะมีได้นั้น ส่วนหนึ่งต้องเริ่มจากการออมและการลงทุน เพื่อให้มีเงินในการจะดูแลสิ่งต่างๆ

นายปรัชญา กุลวณิชพิสิฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟิลลิปประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
ตามที่ทางบริษัทได้มีการจัดทำ PhillipLife ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะเข้ามาดูแลชีวิตคุณและคนที่คุณรัก รวมไปถึงการลงทุนด้วยการออมที่มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนดี เอาใจนักลงทุนที่ไม่ชอบการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง

โดยได้พลิกโฉมใหม่ในหลายๆ มิติ เช่น การปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูทันสมัยขึ้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มคนวัยทำงาน และคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยทั้งการวางแผนชีวิต แผนทางการลงทุน การเงิน การออม ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ที่บริษัทได้ทำขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ายุคไทยแลนด์ 4.0

รวมทั้งเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับลูกค้าให้มีความหลากหลาย เข้าถึงง่ายทั้งข้อมูลข่าวสาร ผลิตภัณฑ์และบริการ พร้อมกับนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ให้วงการประกันชีวิตของไทยนอกจากการดูแลทุกจังหวะของชีวิตแล้ว เมื่อเร็วๆนี้ ได้จัดกิจกรรม PhillipLife Family แบบเอ็กซ์คูลซีฟเพื่อใกล้ชิดกับลูกค้า และเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้รู้จักกับ PhillipLife มากขึ้น

นายปรัชญา กล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนในช่วงสุดท้ายของปีนั้น อยากแนะนำนักลงทุนว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ภาพรวมตลาดทั้งปี ฝ่ายวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย )จำกัด (มหาชน) มองว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะยังอยู่ในแดนบวก อยู่ที่ประมาณ100 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,600 -1,712 จุด โดยอัตราส่วนราคาต่อกำไร (PE) อยู่ที่ 18.7 เท่า

ด้านอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของดัชนีอยู่ที่ประมาณ 3% ปรับตัวลงมาเล็กน้อยจากปี 2561 อยู่ที่ 4%  ส่วนปัจจัยลบที่ต้องจับตามองในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ คือ ภาวะเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงไปเหลือ 0.8-0.9% ถือว่าหลุดจากกรอบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินไว้ว่าจะอยู่ที่ 1-3 %

ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุน หลังจากที่แบงก์ชาติได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จาก 1.75 % ลดลงเหลือ 1.5 % ตามธนาคารกลางสหรัฐ ( เฟด ) ที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เช่นกัน จาก 2-2.25 %  มาที่ 1.75 -2 %

จากปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ สงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกา จะเป็นตัวฉุดให้บรรยากาศการลงทุนไม่คึกคักเท่าที่ควร และมีการเติบโตต่ำ ดังนั้นขอแนะนำว่านักลงทุนไม่ควรคาดหวังกำไรมากเกินไป หรือถ้าขาดทุนควรปรับจุดของการขาดทุน (top-loss) ไว้ใหม่ โดยเชื่อว่าหุ้นจะขึ้น-ลง ไม่แรงมาก เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจ และธุรกิจยังมีหนี้สินไม่มากมาย

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนแต่ละประเภทต้องเลือกลงทุนอย่างเหมาะสม โดยนักลงทุนที่ชอบถือหุ้นยาวแนะนำให้ซื้อหลักทรัพย์ที่เป็นกองทุนเกี่ยวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และเอกชน ส่วนหุ้นรายตัวควรดูราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นต่ำกว่า 1 เท่า อัตราส่วนราคาต่อกำไร (PE)ไม่ควรต่ำกว่า 10 เท่า เงินปันผลควรอยู่ที่ 3-4% นักลงทุนที่ถือระยะยาวควรเน้นปันผลจะปลอดภัยกว่า ส่วนนักลงทุนที่เป็นกลุ่มเทรดดิ้ง แนะนำว่าถ้าดัชนีลงมาที่ 1,600 จุด ควรเป็นจุดเข้าซื้อ ทั้งนี้ หากดัชนีปรับตัวมาอยู่ 1,600 จุดปลายๆ ไม่แนะนำให้เข้าซื้อ แต่ถ้าดัชนีปรับไปถึง 1,700 ควรขายทำกำไร

นอกจากนี้ยังแนะนำให้ซื้อกองทุนรวมอีทีเอฟที่เกาะกับ SET50 ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะจะได้ผลตอบแทนดีตาม SET50 ที่ถือว่าเป็นหุ้นเด่นที่ถูกคัดกรองมาแล้ว 50 ตัวแรก ถ้าหากดัชนีต่ำกว่า 1,650 จุด ให้ทยอยซื้อเก็บไว้เรื่อย ๆ ถือไว้ระยะยาว ส่วนนักลงทุนที่มีเงินทุนเป็นรายเดือนแนะนำให้หักแบบดอลล่าร์คอสไว้