ซัมมิตใดมี ‘สี’ ซัมมิตนั้นมี ‘ทรัมป์’

ซัมมิตใดมี ‘สี’ ซัมมิตนั้นมี ‘ทรัมป์’

การไม่มาร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงเทพฯ ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำสหรัฐ ทำให้ชาติเอเชียผิดหวังตาม ๆ กัน และเมื่อย้อนดูการร่วมซัมมิตต่าง ๆ ที่ผ่านมาพบว่า อาจเป็นเพราะงานนี้ไร้เงาบุคคลที่เหมือน “แม่เหล็ก” ดึงดูดทรัมป์ นั่นคือ "สี จิ้นผิง" ผู้นำจีน

นับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้งปลายปี 2559 และเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการช่วงต้นปี 2560 ทรัมป์ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระหว่างประเทศหลายเวทีซึ่งล้วนมีวาระสำคัญต่อสหรัฐ

แต่หากพูดถึงเวทีซัมมิตอาเซียนแล้ว ทรัมป์มาเข้าร่วมด้วยตัวเองเพียงครั้งเดียว คือที่ฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพในเดือน พ.ย. ปีเดียวกัน และบินกลับประเทศก่อนผู้นำคนอื่น ๆ โดยไม่ร่วมประชุมผู้นำเอเชียตะวันออก (อีเอเอส) ในกรุงมะนิลา และให้ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รมว.กระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น เข้าร่วมการประชุมนี้แทน

นั่นถือเป็น “จุดเริ่มต้น” ของคำถามที่ว่า รัฐบาลวอชิงตัน “จริงใจ” แค่ไหน กับการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เมื่อถึงซัมมิตอาเซียนที่สิงคโปร์ในปีที่แล้ว ทรัมป์ได้ส่ง ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีมาเข้าร่วมแทน และในการประชุมที่ไทยเป็นเจ้าภาพในปีนี้ สหรัฐยังลดระดับตัวแทนจากรองประธานาธิบดีมาเป็น วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของรัฐบาลวอชิงตันที่จะเข้าร่วมการประชุมอีเอเอสและผู้นำสหรัฐ-อาเซียน ที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 3-4 พ.ย.นี้

มิหนำซ้ำ ทรัมป์ยังแต่งตั้ง โรเบิร์ต โอไบรอัน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวเป็นทูตพิเศษของตัวเอง เข้าประชุมซัมมิตอาเซียนแทน

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ หากจะมีคนเปรียบเทียบการให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในยุครัฐบาลทรัมป์กับยุครัฐบาลอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา

โอบามาเดินทางมาประชุมสุดยอดอาเซียนด้วยตัวเองทุกครั้ง ยกเว้นเมื่อปี 2556 ที่เขาส่ง โจ ไบเดน รองประธานาธิบดีมาแทน เนื่องจากโอบามาต้องอยู่แก้ปัญหาชัตดาวน์ (งบประมาณรัฐบาลติดขัด) ที่ทำเนียบขาว

ก่อนหน้านี้มีกระแสคาดการณ์ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน อาจมาพบกันในเวทีประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ที่กรุงเทพฯในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือเรื่องข้อพิพาทการค้าระหว่างสองประเทศ

แต่สุดท้าย ประธานาธิบดีจีนก็ไม่มาและส่งนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง มาเข้าร่วมแทนเหมือนเช่นเคย ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐก็ส่งตัวแทนเข้าร่วมเหมือนกัน ทำให้เวทีอาเซียนครั้งนี้ดูมีแรงดึงดูดน้อยกว่าที่คาดหวังไว้ แต่หลายคนคงเริ่มชินแล้ว

157258589476

นอกจากนี้ เมื่อย้อนดูสถิติการเข้าร่วมประชุมสุดยอดระหว่างประเทศนับตั้งแต่ปี 2560 ที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง พบว่า เวทีใดก็ตามที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเข้าร่วม จะมีผู้นำสหรัฐอยู่ที่นั่นด้วยเสมอ

ไล่ตั้งแต่ การประชุมจี20 ครั้งที่ 12 ในเมืองฮัมบูร์กของเยอรมนี เมื่อเดือน ก.ค. 2560 ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่พบกันในเวทีพหุภาคี หลังไปพบปะแบบทวิภาคีครั้งแรกที่มาร์อาลาโก รีสอร์ทสุดหรูของทรัมป์ในรัฐฟลอริดาเมื่อเดือน เม.ย. ปีเดียวกัน

ครั้งต่อมาที่สีกับทรัมป์พบกัน คือการประชุมเอเปคที่เมืองดานังของเวียดนาม ช่วงเดือน พ.ย. 2560 โดยทั้งคู่ได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับประเด็นการค้าโลกด้วย

ในเดือน ธ.ค. 2561 ทรัมป์ตามไปพบสีอีกครั้ง ในการประชุม จี20 ครั้งที่ 13 ในกรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินา โดยครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายมีการเจรจาการค้าทวิภาคี หลังเปิดฉากสงครามการค้าไปก่อนหน้านี้

และครั้งล่าสุดคือ การประชุม จี20 ครั้งที่ 14 ในเมืองโอซากาของญี่ปุ่น ช่วงปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งคู่ยังได้เจรจาการค้าทวิภาคีกันอีกครั้ง และเดิมนั้น สีและทรัมป์ยังมีกำหนดการพบปะกันในการประชุมเอเปคที่ชิลี วันที่ 17 พ.ย.ด้วย แต่ถูกสั่งยกเลิกไปแล้ว

การไม่เข้าร่วมประชุมอาเซียนซัมมิตของทรัมป์ครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐกำลังทำสงครามการค้ากับจีน และผลกระทบจากสงครามการค้าเริ่มสร้างปัญหาต่อเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทำให้หลายประเทศเกิดการรวมกลุ่มกันเพื่อรับมือกับผลพวงจากสงครามการค้า

ขณะที่กำหนดการประชุมสุดยอดเอเปคในชิลี ล่าสุด รัฐบาลประเทศเจ้าภาพได้ประกาศยกเลิกกำหนดการนี้แล้ว เนื่องจากยังไม่สามารถจัดการเหตุประท้วงรุนแรงที่มีการปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน

นอกจากการประชุมเอเปคแล้ว สถานการณ์ประท้วงที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะสงบลงเมื่อใด ทำให้ประธานาธิบดีเซบาสเตียน ปิเนราของชิลีประกาศยกเลิกกำหนดการประชุมด้านสภาพภูมิอากาศระหว่างวันที่ 2-13 ธ.ค.ไปด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ทรัมป์และสีจะไม่ได้พบกันที่ซัมมิตในชิลีแล้ว แต่ฝ่ายสหรัฐยังคงหวังที่จะลงนามข้อตกลงการค้าฉบับประวัติศาสตร์กับประธานาธิบดีจีนให้ได้

โฮแกน กิดลีย์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงเมื่อวันพุธ (30 ต.ค.) ว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังเฝ้ารอที่จะลงนามข้อตกลงการค้าเฟส 1 กับจีนภายในกรอบเวลาเดิม “เมื่อเรามีประกาศออกมาแล้ว จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง”

ถึงจุดนี้คงต้องจับตาว่า ทรัมป์และสีจะมีวาสนาได้พบพานกันอีกหรือไม่ในปีนี้ แต่ประเมินแนวโน้มแล้วโอกาสริบหรี่ อาจต้องลุ้นต่อในปีหน้าก่อนทรัมป์จะลงเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย...ในเงื่อนไขว่าต้องไม่ถูกสภาคองเกรสถอดถอนไปเสียก่อน!!