'หัวเว่ย' แนะรัฐบาล เร่งดันไทยสู่สมาร์ทเนชั่น

'หัวเว่ย' แนะรัฐบาล เร่งดันไทยสู่สมาร์ทเนชั่น

“หัวเว่ย” ชี้รากฐานดิจิทัลไทยแข็งแรง แนะเร่งเครื่องสมาร์ทซิตี้ สร้างห่วงโซ่คุณค่า วางทิศทาง-จุดยืนให้ชัดเจน พร้อมทำงานร่วมประเทศเพื่อนบ้าน ปูทางสู่สมาร์ทเนชั่น

นายเอ็ดวิน ดิเอนเดอร์ ประธานฝ่ายการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล และรองประธานฝ่ายธุรกิจ ภาครัฐ และเอกชน หัวเว่ย เอนเตอร์ไพรส์ บิสสิเนส กรุ๊ป กล่าวว่า การพัฒนาด้านดิจิทัลรวมถึงสมาร์ทซิตี้ในประเทศไทยมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าอย่างมาก ประเมินขณะนี้นโยบายที่ภาครัฐขับเคลื่อนออกมานับว่าดีอยู่แล้ว ที่เหลือคือทำอย่างไรถึงจะสามารถสร้างห่วงโซ่คุณค่าขึ้นมาได้

โดยภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ก้าวต่อไปคือ การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้สอดคล้อง เกิดประโยชน์ เรื่องนี้ที่ต้องมีความชัดเจนคือ การวางทิศทางและจุดยืนของประเทศให้ชัดเจนว่าต้องการเดินไปข้างหน้าอย่างไร อีกทางหนึ่งวางบทบาทด้านความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านสมาร์ทซิตี้ ปูทางสู่การเป็น “สมาร์ทเนชั่น” เต็มรูปแบบ

ทั้งนี้ สมาร์ทซิตี้คือแกนกลางและแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้เข้ามาต่อยอด เพื่อพัฒนาบริการที่มีความหลากหลายตอบโจทย์การใช้งานของประชาชน ประเมินขณะนี้ไทยมีรากฐานที่แข็งแรงดีอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาคือวาระของประเทศ เป้าหมาย รวมถึงตั้งโจทย์ที่จะทำให้มีการพัฒนาต่อยอด

“ผมได้เห็นว่าการขับเคลื่อนงานของรัฐบาลไทยมีความก้าวหน้าดีอยู่แล้ว สิ่งที่สำคัญต่อๆ ไปคือการผลักดันแผนงานต่างๆ ให้ได้ตามกลยุทธ์ มีการบริหารจัดการ วางแผนด้านงบประมาณการลงทุน พร้อมๆ ไปกับจัดลำดับความสำคัญว่างานใดที่ต้องทำ งานใดที่ต้องทำเป็นอันดับแรกๆ”

สำหรับหัวเว่ย ได้วางกลยุทธ์ทั้งในระดับโลก ภูมิภาค และท้องถิ่นไว้อย่างชัดเจน บทบาทคือเข้าไปสนับสนุนด้านดิจิทัลอินฟราสตรักเจอร์ตลอดเส้นทางของการพัฒนา ขณะเดียวกันมีการลงทุนและทำงานร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นต่อเนื่อง โดยก้าวที่สำคัญจากนี้คือการเปลี่ยนผ่านจาก 4จี ไปสู่ 5จี

157235278293

เขากล่าวว่า ขณะนี้ทั้งเทคโนโลยี ระบบ และการบริการมีความพร้อมอยู่แล้ว ความท้าทายคือจะทำอย่างไรให้ระบบงานของแต่ละองค์กรที่แยกส่วนกันอยู่เป็นไซโลสามารถเชื่อมต่อถึงกันและทำงานเสมือนเป็นระบบเดียว เรื่องนี้เป็นความท้าทายที่ทุกประเทศต้องเผชิญ

ด้านข้อจำกัดด้านงบประมาณการลงทุน มีหลายโมเดลที่ช่วยแก้ปัญหาได้ เช่น การเข้าไปลงทุนร่วม การดึงพันธมิตรเข้ามามีส่วนร่วมภายใต้โปรแกรมที่หลากหลาย ลูกค้าสามารถเข้ามาปรึกษาและปรับเปลี่ยนให้เข้ากับโจทย์ที่ตั้งไว้หรือมูลค่าที่ต้องการสร้างขึ้นมา อีกจุดต่างของการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หัวเว่ยคือสามารถทำราคาที่คุ้มค่าต่อการลงทุน

ขณะที่ การรับมือความท้าทายของแต่ละประเทศที่มีความต้องการแตกต่างกัน หัวเว่ยได้พัฒนาโซลูชั่นที่มีความสามารถ มาตรฐานระดับโลก สำคัญคือเป็นระบบเปิดสามารถเชื่อมต่อกับระบบเดิมๆ ที่มีอยู่ได้

ไอดีซีระบุว่า ปี 2563 การลงทุนด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นทั่วโลกจะมีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเฉลี่ยระหว่างปี 2558-2563 เติบโตเฉลี่ย 17.9%การลงทุนด้านดิจิทัลอินฟราสตรักเจอร์ 0.2% ของงบการลงทุนรวม จะส่งผลกระทบต่อจีดีพีประเทศได้ไม่น้อยกว่า 2% ภายในปีนั้นๆ ที่มีการลงทุน

“วันนี้ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นกลายเป็นเมกะเทรนด์ของทุกอุตสาหกรรม เรากำลังก้าวเข้าสู่โลกที่ชาญฉลาด ทุกอย่างเชื่อมต่อ สามารถตรวจจับได้ เทคโนโลยีไอซีทีจะมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มการเข้าถึงการติดต่อสื่อสาร พัฒนาเศรษฐกิจ และสร้างงาน การสร้างความสำเร็จในยุคดิจิทัลไม่อาจใช้วิธีการเดิมๆ ที่เคยทำมาในอีดต ต้องมีการปรับแนวคิด ทำสิ่งใหม่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ใหม่ๆ”