‘เอส โฮเทลฯ’ ปั้นแบรนด์‘SAii’ ปักหมุดมัลดีฟส์ สู้ 200 รีสอร์ท

‘เอส โฮเทลฯ’ ปั้นแบรนด์‘SAii’ ปักหมุดมัลดีฟส์ สู้ 200 รีสอร์ท

ยังคงเป็นไปตามไทม์ไลน์ของเครือ “สิงห์ เอสเตท” ที่ต้องการนำบริษัทลูก“เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท”(SHR)เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลางเดือน พ.ย.2562นี้ ตั้งเป้าระดมทุน7,475ล้านบาท จากการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO)

เป็นไปเพื่อเพิ่มพอร์ตการลงทุน ขยายจำนวนโรงแรมและห้องพักให้เติบโต2เท่า จากปัจจุบันมีโรงแรม39แห่ง รวมกว่า4,647ห้องพัก ใน5ประเทศ ได้แก่ ไทย4แห่ง, มัลดีฟส์3แห่ง, ฟิจิ2แห่ง, มอริเชียส1แห่ง และสหราชอาณาจักร29แห่ง ให้เพิ่มเป็น80แห่งภายในปี2568 กระจายความหลากหลายทั้งในไทยและต่างประเทศ ผ่านการพัฒนา4รูปแบบ ทั้งโรงแรมที่SHRเป็นเจ้าของและบริหารเอง โรงแรมที่บริหารผ่านข้อตกลงแฟรนไชส์กับแบรนด์ระดับโลก โรงแรมที่บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม และโรงแรมที่บริหารผ่านแบรนด์ที่SHRสร้างขึ้นมาเอง

ขณะนี้SHRได้ปั้นแล้ว1แบรนด์คือ ทราย” (SAii) เปิดให้บริการแห่งแรกที่มัลดีฟส์ ภายใต้ชื่อ “ทราย ลากูน มัลดีฟส์” (SAii Lagoon Maldives)โดยเป็นการใช้แบรนด์ร่วมกับ Curio Collection by Hilton มีขนาด198ห้องพัก มีพื้นที่ตั้งแต่44-240ตารางเมตรต่อห้อง ในอาณาจักรโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานหรือมิกซ์ยูส “ครอสโรดส์” แหล่งท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์ครบวงจร มีขนาดลงทุนต่างประเทศใหญ่ที่สุดของเครือสิงห์ เอสเตท เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา

ส่วนโรงแรมแห่งที่2 ในโครงการ ครอสโรดส์ คือ ฮาร์ด ร็อก มัลดีฟส์เป็นโรงแรมระดับบน(Upper Upscale)อยู่ภายใต้แบรนด์ฮาร์ดร็อก (Hard Rock)แห่งแรกในมัลดีฟส์ มีห้องพัก178ห้อง ขนาดตั้งแต่46-445ตารางเมตรต่อห้อง

เดร์ค เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารSHR เล่าว่า ใช้เวลากว่า1ปีครึ่งในการคิดค้นชื่อแบรนด์รีสอร์ทแห่งแรกของSHRก่อนจะลงตัวที่คำว่าSAiiนอกจากจะขึ้นต้นด้วยตัวอักษรSเหมือนสิงห์ เอสเตท แล้ว ยังพ้องเสียงกับคำว่า ทราย ในภาษาไทยแล้ว และสะท้อนถึงบรรยากาศของหาดทราย ชายทะเล และสายลมได้เป็นอย่างดี

สำหรับตำแหน่งทางการตลาด วางแนวทางการนำเสนอรูปแบบที่พักของSAiiอยู่ตรงระดับบน (Upper Upscale) หรือ4.5ดาว เน้นความหรูหราแบบจับต้องได้ เป็นกันเอง กลมกลืนกับธรรมชาติ และสะท้อนถึงความเป็นแบรนด์ระดับโลก ผ่านการให้บริการเป็นมิตรแบบชาวไทย แต่ยังผสมผสานกับเอกลักษณ์ของท้องถิ่นนั้นๆ อย่างเรียบง่าย เหมาะกับการเจาะนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ผู้มี “มิลเลนเนียลส์ มายด์เซ็ท เน้นมองหาประสบการณ์และความต้องการแปลกใหม่ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องวัย

เมื่อพูดถึงมัลดีฟส์ นักท่องเที่ยวหลายคนอาจคุ้นเคยกับภาพลักษณ์หรูหรา (Luxury) และการเป็นจุดหมายที่เหมาะกับบรรดาคู่รัก แต่ SHR ต้องการเปิดมุมมองใหม่ เสนอความหรูหราในแบบกันเองและจับต้องได้ เหมาะกับนักท่องเที่ยวหลากหลายกลุ่ม ทั้งครอบครัวและเพื่อนฝูงด้วย ไม่ใช่แค่กลุ่มคู่รักเพียงอย่างเดียว

ผ่านการออกแบบกระบวนการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร หรือ “Guest Journey” คัดสรรมา 7 ขั้นตอน ได้แก่ Hello,Hub, Sleep, Play, Treat, LiveและSAii for nowที่ไม่ได้ต้องการบอกลาลูกค้าด้วยคำว่าลาก่อนแบบทั่วๆ ไป

ไล่เรียงตั้งแต่ห้องพักทั้งแบบสวีท วิลล่า ห้องเหนือน้ำ (Overwater Room)และพูลวิลล่าที่ได้รับการออกแบบอย่างโดดเด่น เน้นให้สามารถถ่ายรูปโชว์บนสังคมออนไลน์อย่างอินสตาแกรมได้ วางราคาขายห้องพักต่อคืนที่350ดอลลาร์สหรัฐ (ราว10,600บาท) ขึ้นไป

 

รวมไปถึงการสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์ด้วยเอกลักษณ์ด้านอาหาร จากห้องอาหารระดับซิกเนเจอร์ เช่น Miss Olive Oyl(มิสโอลีฟออยล์) ห้องอาหารและบาร์ เสิร์ฟอาหารทะเลปิ้งย่างสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน, Mr Tomyam (มิสเตอร์ต้มยำ) ให้บริการอาหารไทย และbean / Co(บีนแอนด์โค) ร้านกาแฟบรรยากาศสบายๆ นอกจากนี้ยังเน้นบริการด้านการเป็นอยู่ที่ดี (Well Being)ด้วยบริการซิกเนเจอร์อย่างLen Be Well(เล่นบีเวล) ซึ่งนำเสนอกิจกรรมเพื่อสุขภาพ พร้อมการผจญภัยกลางแจ้ง

“ด้วยคอนเซ็ปต์ของSAiiทำให้รีสอร์ทแห่งแรกของแบรนด์นี้ แตกต่างจากโรงแรมและรีสอร์ทอื่นๆ ในมัลดีฟส์ซึ่งปัจจุบันมีกว่า200แห่ง เนื่องจากได้รวบรวมกิจกรรมต่างๆ ให้มาอยู่รวมกัน เพื่อสร้างตัวเลือกหลากหลายแก่ลูกค้า ผ่านการจับมือกับพันธมิตร นำเสนอมุมมองแปลกใหม่ของมัลดีฟส์”

ทั้งนี้ คาดว่าลูกค้าของทราย ลากูน มัลดีฟส์ จะเป็นชาวยุโรปกว่า50%รองลงมาเป็นเอเชีย35%และอีก15%เป็นชาติอื่นๆวางเป้าหมายอัตราเข้าพักให้เติบโตดีต่อเนื่อง ไปอยู่ที่ระดับ74-78%ในอีก5ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับภาพรวมอัตราเข้าพักของทั้งตลาดโรงแรมมัลดีฟส์ในตอนนี้