'การท่องเที่ยว' ฮีโร่จำเป็น หรือ ฮีโร่ตัวจริง 'เศรษฐกิจไทย'

'การท่องเที่ยว' ฮีโร่จำเป็น หรือ ฮีโร่ตัวจริง 'เศรษฐกิจไทย'

ในสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ดูไม่สู้ดีนัก ทำให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการต่างๆ มากระตุ้น ที่เห็นผลโดดเด่นขึ้นมาเป็นภาคการท่องเที่ยว แม้มีอุปสรรคหลายระลอกเข้ามาปะทะ แต่ก็ยังคงช่วยพยุงเศรษฐกิจไว้ได้พอสมควร หรือนี่จะเป็นฮีโร่ตัวจริงของเศรษฐกิจไทยกันแน่

ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวในปัจจุบัน ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นฮีโร่ที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยไว้ โดยรายได้จากการท่องเที่ยวของชาวไทย-ต่างชาติในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ 17% ของ GDP ซึ่งมีระดับใกล้เคียงกับปีก่อน นอกจากนี้ ยังเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสะท้อนจากอันดับในดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวปี 2562 โดย World Economic Forum ที่ไทยติดอันดับ 31 จาก 140 ประเทศทั่วโลก และเป็นอันดับ 3 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย

ที่ผ่านมา ภาครัฐได้ออก "มาตรการด้าน การท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นรายได้ เช่น การขยายระยะเวลามาตรการ Free Visa on Arrival โครงการร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย เป็นต้น จากประสบการณ์ในอดีต การกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวมีประสิทธิผลต่อเศรษฐกิจชัดเจน เพราะภาคท่องเที่ยวมีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่งเป็นพื้นฐานและตอบสนองเร็วต่อมาตรการกระตุ้น อีกทั้งยังส่งผลดีกระจายไปในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านค้า กลุ่มเกษตรกร และธุรกิจขนส่ง แต่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นมาตรการระยะสั้น เราต้องไม่ลืมว่าการพัฒนาศักยภาพภาคการท่องเที่ยวให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน จะต้องมีมาตรการระยะยาวด้วยเช่นกัน โดยในอดีตที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวประสบปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจกระทบต่อศักยภาพและการเติบโตในระยะยาวอยู่พอสมควร

157243542310

ปัญหาและข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของภาคการท่องเที่ยวไทยในช่วงที่ผ่านมา

1. การกระจุกตัวในเชิงสัญชาติ (Country of Residence) ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวจากจีน อาเซียน และยุโรป มี 21 ล้านคน หรือประมาณ 70% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด การพึ่งพานักท่องเที่ยวชาติใดชาติหนึ่งมากเกินไปทำให้มีความเสี่ยง กล่าวคือเมื่อเกิดเหตุการณ์เชิงลบขึ้นกับประเทศนั้นๆ ก็จะมีผลกระทบต่อรายได้ภาคท่องเที่ยวของไทยมาก เช่น เหตุการณ์เรือนักท่องเที่ยวจีนล่ม ที่จ.ภูเก็ต ปี 2561 ส่งผลให้รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัว 2% ในช่วงครึ่งหลังของปี จากที่ขยายตัว 7% ในช่วงครึ่งแรกของปี นอกจากนี้ ในด้านจุดหมายปลายทาง การท่องเที่ยวยังจำกัดอยู่ในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต และชลบุรี ซึ่งมีรายได้รวมกันเกินครึ่งของรายได้การท่องเที่ยวทั้งหมด

2. ข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวทั้งโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งท่องเที่ยว ต่อเนื่องปัญหาแรก ทำให้ปัจจุบันสนามบินหลักรองรับนักท่องเที่ยวเกินศักยภาพ การเพิ่มเที่ยวบินและผู้โดยสารทำได้น้อยลง กระทบต่อความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว จากผลสำรวจในไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมาพบว่า คะแนนด้านการบริการคมนาคมอยู่ในระดับต่ำที่สุด และที่สำคัญคือ เกิดปัญหาความแออัดและแหล่งท่องเที่ยวเสื่อมโทรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนของภาคท่องเที่ยวไทยในระยะยาว

3. การเติบโตของรายได้จากการพึ่งพาจากจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่าด้านราคา ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติขยายตัวเฉลี่ย 10% ต่อปี โดยมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขยายตัวกว่า 8% ขณะที่ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวขยายตัวเพียง 2% ต่อปีเท่านั้น ซึ่งค่าใช้จ่ายที่อยู่ในระดับต่ำอาจสร้างความเสี่ยงให้กับรายได้ภาคท่องเที่ยวของไทยในอนาคต เพราะจากประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลกของ World Tourism Organization (UNWTO) พบว่า ในระยะข้างหน้าคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง และยังเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศคู่แข่งที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ดังนั้นทางการควรมีมาตรการระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของภาคท่องเที่ยวควบคู่กันไป โดยมุ่งเน้นมาตรการในแนวทาง 3Cs ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว คือ

Creating more value added สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ โดยใช้จุดแข็งด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต อัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ทรัพยากรธรรมชาติ และการพัฒนาให้มีแหล่งท่องเที่ยวประเภทมนุษย์สร้างขึ้น (man-made attraction) มาบูรณาการให้เกิดประสบการณ์ท่องเที่ยวที่แตกต่าง เพื่อลดการแข่งขันทางด้านราคาและเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยว ทำให้รายได้ตกอยู่กับประเทศไทยมากขึ้น รวมทั้งสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเที่ยวเพิ่มขึ้น

Connecting infrastructure and increasing capacity เชื่อมต่อระบบคมนาคมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในเมืองรองได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และในราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในเมืองหลักและก่อให้เกิดการกระจายรายได้ที่ทั่วถึง

Caring for environment รักษาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ปัจจุบันดำเนินการไปบ้างแล้ว เช่น การปิดอ่าวมาหยาเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติที่ถูกทำลาย ควรสนับสนุนให้ทางการทำมากขึ้นและต่อเนื่อง เพราะไทยมีจุดแข็งด้านแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม แต่การรักษาสิ่งแวดล้อมของไทยกลับด้อยกว่าอีกหลายประเทศ สะท้อนจากดัชนีชี้วัดความสามารถในการแข่งขันด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ซึ่งไทยอยู่ในกลุ่ม 20% ของประเทศที่มีคะแนนน้อยที่สุด

การจัดลำดับและเพิ่มความสำคัญในการดำเนินมาตรการระยะยาวมีความท้าทายเพราะเห็นผลช้า แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นมากเพราะจะสร้างความยั่งยืนให้กับภาคท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง เพื่อให้ภาคท่องเที่ยวสามารถรับมือกับโลกที่เปลี่ยนไปจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและแนวโน้มพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว เพื่อเป้าหมายให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยเป็น “ฮีโร่ตัวจริงของเศรษฐกิจไทยต่อไป และผลักดันสร้างฮีโร่ท้องถิ่นเกิดการท่องเที่ยวโดยชุมชน

[บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย]