ผู้เชี่ยวชาญชี้สิ้นผู้นำไอเอสไม่ใช่จุดจบก่อการร้าย

ผู้เชี่ยวชาญชี้สิ้นผู้นำไอเอสไม่ใช่จุดจบก่อการร้าย

ผู้เชี่ยวชาญชี้สิ้นผู้นำไอเอสไม่ใช่จุดจบก่อการร้าย และกังวลว่าการสังหารบักดาดีโดยกองกำลังสหรัฐ อาจกลายเป็นเครื่องมือในการเปิดรับสมัครบุคลากรเพื่อร่วมงานกับไอเอสมากขึ้น

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ประกาศว่า อาบู บัคร์ อัล-บักดาดี หัวหน้ากลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) เสียชีวิตจากการปฏิบัติการของกองทัพสหรัฐในซีเรีย พร้อมทั้งประกาศชัยชนะในเรื่องนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญและอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐกลับเตือนว่า การต่อสู้กับกลุ่มการร้ายนั้นยังอีกยาวไกล

ปธน.ทรัมป์ แถลงที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอาทิตย์(27ต.ค.)ว่า กองกำลังปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐได้บุกพื้นที่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียในคืนวันเสาร์(26ต.ค.) โดยมีเป้าหมายที่บักดาดี ขณะที่บักคาดี จุดชนวนระเบิดที่เสื้อเกราะเพื่อปลิดชีพตนเอง ถือเป็นการปิดฉากชีวิตวัย 48 ปี ของผู้นำไอเอส ซึ่งมีชื่อเดิมว่า อิบราฮิม อาวัด อัล-บาดรี ผู้ก่อตั้งรัฐอิสลามเมื่อเดือนมิ.ย. ปี 2557

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีรายงานการเสียชีวิตของบักดาดีหลายครั้ง แต่ยังไม่มีรายงานใดที่ได้รับการยืนยัน และเมื่อปี 2559 กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ตั้งรางวัลสำหรับผู้ให้เบาะแสที่นำไปสู่การจับกุมหรือสังหารผู้นำไอเอสผู้นี้ สูงถึง 25 ล้านดอลลาร์

“กองกำลังปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐเปิดฉากโจมตีในช่วงกลางคืนในพื้นที่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย ซึ่งเป็นภารกิจที่อันตรายและต้องใช้ความกล้าหาญ และกองกำลังชุดดังกล่าวสามารถบรรลุภารกิจของพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่” ทรัมป์ กล่าวและว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่สหรัฐเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติการครั้งนี้ และกองทัพสหรัฐยังได้รับข้ออมูลและหลักฐานที่มีความอ่อนไหวสูงจากการบุกโจมตีครั้งด้วย

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า การเสียชีวิตของบักดาดี อาจเป็นทรัพย์สินทางการเมืองที่มีค่าสำหรับทรัมป์ หลังจากที่เขาได้รับคำวิจารณ์อย่างรุนแรงในสหรัฐเกี่ยวกับการตัดสินใจถอนกองกำลังทหารออกจากซีเรีย โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะเห็นว่าอาจนำไปสู่การฟื้นตัวของกลุ่มไอเอส ซึ่งปฎิบัติการนี้จะช่วยให้ทรัมป์สามารถสยบคำวิจารณ์ดังกล่าวและอ้างเครดิตจากความพ่ายแพ้ของไอเอสได้

"ริชาร์ด ฮาสส์“ ประธานสภาวิเทศสัมพันธ์ของสหรัฐ ทวีตข้อความว่า ”ตลกร้ายของการปฎิบัติการที่ประสบความสำเร็จครั้งนี้คือ มันอาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากกองกำลังสหรัฐที่ถูกถอนกำลังออกจากพื้นที่ ความช่วยเหลือจากกองกำลังชาวเคิร์ดที่ถูกหักหลัง และการสนับสนุนจากหน่วยข่าวกรองของสหรัฐที่มักถูกดูหมิ่น

เจ้าหน้าที่สหรัฐเห็นพ้องกับข้อความบนทวิตเตอร์ของนายฮาสส์บางส่วน ขณะที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของสหรัฐว่า กองกำลังชาวเคิร์ดและอิรักส่งมอบข้อมูลลับแก่สหรัฐสำหรับการจู่โจมมากกว่าประเทศใด

ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น นายมาร์ก เอสเปอร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ กล่าวว่า เขาไม่ทราบว่าสหรัฐ จะสามารถเปิดฉากจู่โจมบักดาดีทางเฮลิคอปเตอร์ได้หรือไม่ หากกองทัพสหรัฐถูกถอนกำลังออกจากซีเรียโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ดี แม้ว่ารัฐบาลของทรัมป์ อ้างว่าปฎิบัติการทางทหารครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่ผู้เชี่ยวชาญและอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐบางราย กลับมองว่าการเสียชีวิตของบักดาดี ไม่ได้สลักสำคัญเท่าใดนัก พร้อมยืนยันว่าการตายของเขาไม่อาจยุติการก่อการร้ายของกลุ่ม

“ไมเคิล สมิธ” นักวิเคราะห์ด้านก่อการร้ายจากโครงการความปลอดภัยระดับโลก ประจำมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ แสดงความกังวลว่า การสังหารบักดาดีโดยกองกำลังสหรัฐ อาจกลายเป็นเครื่องมือในการเปิดรับสมัครบุคลากรเพื่อร่วมงานกับไอเอสมากขึ้น

“จาเว็ด อาลี” อดีตผู้อำนวยการอาวุโสด้านการต่อต้านการก่อการร้าย ประจำสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ กล่าวว่า การเสียชีวิตของบักดาดี ไม่ได้นำไปสู่การพ่ายแพ้เชิงยุทธศาสตร์ของกลุ่มไอเอส ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีความยืดหยุ่นแม้ว่าจะมีการสูญเสียชีวิตก็ตาม

“เจนนิเฟอร์ คาฟาเรลลา” ผู้อำนวยการของสถาบันเพื่อการศึกษาเรื่องสงครามในกรุงวอชิงตัน กล่าวถึงกรณีของโอซามา บินลาเดนเช่นกัน โดยเธอให้สัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ว่า กลุ่มอัลไกดา ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั่วโลก แม้หลังจากที่ทหารสหรัฐสังหารผู้ก่อตั้งและอดีตผู้นำกลุ่มก่อการร้ายผู้นี้ไปเมื่อปี 2554 ก็ตาม

“น่าเสียดายที่การสังหารผู้นำไม่สามารถเอาชนะองค์กรก่อการร้ายได้” นางคาฟาเรลลา กล่าว

“ฮัสซัน ฮัสซัน” ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางจากศูนย์กลางนโยบายระดับโลก แสดงความคิดเห็นที่คล้ายกันและคาดการณ์ว่ากลุ่มไอเอสจะยังรักษาพันธมิตรในต่างประเทศไว้ได้ส่วนใหญ่ และกลุ่มไอเอสในอิรักและซีเรียจะไม่รู้สึกขวัญเสีย แต่กลับจะได้รับการฟื้นฟู

“เจมส์ เจฟฟรีย์” ผู้แทนพิเศษของสหรัฐฝ่ายกิจการซีเรียและกลุ่มต่อต้านไอซิส (รัฐอิสลาม) เปิดเผยระหว่างการพิจารณาคดีของรัฐสภาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีนักโทษไอเอสกว่า 100 ราย หลบหนีไปทางทิศเหนือของซีเรีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตุรกีได้เปิดฉากปฏิบัติการทางทหารกับกองกำลังชาวเคิร์ดเมื่อไม่นานมานี้