'เอสิคซ์' ปักหมุดตลาดเอเชีย ลุยรองเท้าวิ่งโกยยอดขาย

'เอสิคซ์' ปักหมุดตลาดเอเชีย ลุยรองเท้าวิ่งโกยยอดขาย

เป็นโอกาสดีและสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับตลาดรองเท้าในประเทศไทยอย่างมาก เมื่อ ยาสุฮิโตะ ฮิโรตะ ประธานบริหารและประธานฝ่ายปฏิบัติการแบรนด์เอสิคซ์(ASICS) เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อเปิดตัวรองเท้าวิ่งใหม่ “GLIDERIDE”

ทั้งนี้ ฮิโรตะ” เพิ่งข้ามห้วยจากมิตซูบิชิ โดยได้รับตำแหน่งแม่ทัพ เอสิคซ์ เมื่อปีที่แล้ว เขาระบุว่าทิศทางการขยายธุรกิจรองเท้าว่าจากนี้ไป จะให้ความสำคัญกับตลาดในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย และอาเซียน เพราะเป็นตลาดที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นอัตรา 2 หลักอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นยุโรป สหรัฐ ที่ค่อนข้างโต “คงที่”

ผมมารับตำแหน่งประธานเมื่อปีก่อน และเห็นว่ายอดขายรองเท้าเอสิคซ์ในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลาดไทยจึงมีความสำคัญมาก จึงต้องมางานเปิดตัวสินค้าด้วยตัวเอง

สถานการณ์ตลาดที่ยืนยันว่าตลาดรองเท้าเอสิคซ์โตดีในไทย ฮิโรตะ” พบว่า เทียบกับ 5 ปีก่อน ความนิยมในการออกกำลังกายด้วยการวิ่งขยายตัวอย่างมาก และไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่ยอดขายเอสิคซ์เติบโต แต่ในภูมิภาคอาเซียน ตลาดสิงคโปร์ และมาเลเซีย เติบโตในทิศทางที่ดีเช่นกัน

เอสิคซ์ ถือเป็นแบรนด์รองเท้าสัญชาติซามูไร มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ในญี่ปุ่นแบรนด์มีความแข็งแกร่ง เพราะยอดขายใกล้เคียงกับแบรนด์ระดับโลกไม่ว่าจะเป็น อาดิดาส และไนกี้ ส่วนในตลาดโลกก็ไม่น้อยหน้าแบรนด์ดังอื่นๆ เช่นกัน ทว่า ในตลาดไทย แม้จะทำตลาดมานาน แต่บริษัทแม่เพิ่งมีการตั้งบริษัทลูกเพียง 2 ปี เท่านั้น และยังปรับกลยุทธ์การทำตลาดใหม่ๆเพื่อเบียดตัวเองไปอยู่แถวหน้าอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

“หากเทียบแบรนด์อื่นๆเอสิคซ์มาทำตลาดในไทยทีหลัง แต่เราคาดหวังจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้นกว่าตอนนี้ ซึ่งยังมีไม่มากเท่าไหร่” เขากล่าวและขยายความว่า จุดแข็งหนึ่งที่จะทำให้เอสิคซ์โตในไทย มาจากตัวผลิตภัณฑ์รองเท้าที่มีเทคโนโลยีที่ดี ตอบรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ จึงวางเป้าหมายให้แบรนด์ช่วยยกคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ส่วนในแง่ยอดขาย 3-5 ปีข้างหน้า อยากให้ไทยและตลาดอาเซียนทำเงินสัดส่วน 10% ของทั่วโลก และเทียบเท่ากับตลาดจีนด้วย

ปี 2563 ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาของมวลมนุษยชาติอย่าง โอลิมปิก 2020” รวมถึง “พาราลิมปิก 2020” และเอสิคซ์ถือเป็นผู้สนับสนุนหลักในประเทศ จึงคาดหวังว่ากิจกรรมดังกล่าวจะส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ให้แกร่งยิ่งกว่าเดิม ปีหน้ายังเตรียมคลอดรองเท้าคอลเล็กชั่นพิเศษ Retro และ Mofdern โตเกียวรับโอลิมปิกด้วย

สำหรับเอสิคซ์ทั่วโลกมียอดขายในปี 2561 ที่ 4 แสนล้านเยน โดยยุโรปมีสัดส่วนยอดขายสูงสุด ตามด้วยสหรัฐ ญี่ปุ่น และจีน ส่วนอาเซียนยอดขายราว 5% นอกจากนี้ ยอดขายหลักของบริษัทยังมาจากเอสิคซ์ 90% และโอนิซึกะไทเกอร์ 10% อย่างไรก็ตาม ในเอเชียแบรนด์โอนิซึกะแข็งแรงและมีสัดส่วนยอดขายสูง

มีเป้าหมายจะผลักดันแบรนด์เอสิคซ์ให้เป็นรองเท้าวิ่งอันดับ 1 ของโลก การจะไปถึงจุดนั้นปีหน้าเราจะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีรองเท้าและมีสินค้าใหม่เป็นเรือธงทำตลาดทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

ด้าน โยเกซ คานธี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสิคซ์ เอเชีย พีทีอี จำกัด รับหน้าที่ดูตลาดอาเซียน กล่าวว่า ตลาดรองเท้าวิ่งอาเซียนมีมูลค่าราว 400 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยมีมูลค่าราว 100 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 20% ของตลาดสินค้าอุปกรณ์กีฬาทั้งหมด ทั้งนี้ การรุกตลาดรองเท้าวิ่งในไทยเน้น 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.เน้นพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีตอบโจทย์การวิ่ง ออกสินค้าใหม่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง 2.ลงทุนด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เชื่อมการชอปปิง ออฟไลน์สู่ออนไลน์ ลดรอยต่อและมุ่งเป็นออมนิชาแนลในปีหน้า เช่น ซื้อสินค้าออนไลน์มารับหน้าร้าน หรือซื้อหน้าร้านให้ส่งสินค้าถึงบ้าน ฯ 3.โฟกัสแบรนด์ให้เป็นรองเท้าวิ่ง ด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆเชื่อมการวิ่งมาราธอน เป็นต้น

ส่วนการเปิดช้อปมีการรวมแบรนด์เอสิคซ์และเอสิคซ์ไทเกอร์ไว้ด้วยกัน จากเดิมแยกกัน เป้าหมาย 3-5 ปี ต้องการเปิดช็อปเป็น 16 สาขา จาก 8 สาขา ลงทุนเฉลี่ยราว 10 ล้านบาทต่อสาขา ขณะที่แบรนด์โอนิซึกะ ซึ่งเป็นรองเท้าหมวดแฟชั่น จะมีการปรับตำแหน่งทางการตลาดหรือโพสิชั่นนิ่งให้อยู่ระดับบนมากขึ้น และไม่เน้นเปิดช็อปจากปัจจุบันมี 16 สาขา

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราเห็นตลาดรองเท้าเอสิคซ์มีการเติบโตสูง และไทยถือเป็นตลาดสำคัญของเรา เพราะมีการเติบโตติดท็อป 3 ของภูมิภาค ควบคู่กับตลาดสิงคโปร์ และมาเลเซีย การบุกตลาดครั้งนี้เราต้องการผลักดันให้ไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่สุดในภูมในภูมิภาคอาเซียน