'โกเจ็ก' รับมือความท้าทาย หลังผู้ก่อตั้งลาออก

'โกเจ็ก' รับมือความท้าทาย หลังผู้ก่อตั้งลาออก

โกเจ็ก กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายทางธุรกิจครั้งใหญ่ หลังจาก "นาเดียม มาคาริม" ซีอีโอของบริษัท ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเข้าร่วมในคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีโจโก วิโดโด

แม้โฆษกของโกเจ็กจะบอกว่า บริษัทมีแผนรับมือเรื่องนี้อยู่แล้วและการจากไปของมาคาริมจะไม่กระทบธุรกิจของบริษัท แต่บรรดานักวิเคราะห์ต่างมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่างออกไป และมีการคาดการณ์ว่า อังเดร โซลิสต์โย ประธานของโกเจ็ก และเควิน อลูวี ผู้ร่วมก่อตั้งโกเจ็กจะเข้ามาเป็นผู้นำของสตาร์ทอัพมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์แห่งนี้แทนที่มาคาริม

ขณะที่มาคาริม กล่าวที่ทำเนียบประธานาธิบดีอินโดนีเซียว่า การได้รับตำแหน่งรมว.กระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง พร้อมทั้งแสดงความหวังว่า “ความคิดสร้างสรรค์” ที่เขามีอยู่จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับบ้านเมืองได้

โฆษกของโกเจ็ก เปิดเผยว่า มาคาริมจะยังคงเก็บหุ้นในโกเจ็กเอาไว้แต่จะไม่มีบทบาทด้านการบริหารหรือให้คำปรึกษาใด ๆ แก่โกเจ็กอีกต่อไป

โกเจ็ก มีฐานอยู่ในกรุงจาร์กาตาของอินโดนีเซีย เป็นสตาร์ทอัพขนาดใหญ่ด้วยเงินลงทุนจากบริษัทขนาดยักษ์มากมายอย่าง กูเกิล เทนเซ็นต์ และซิคัวยา แคปปิตอล โดยขณะนี้โกเจ็กกำลังเผชิญหน้ากับ “แกร็บ” คู่แข่งจากสิงคโปร์ ที่แข่งขยายฐานการให้บริการไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง

เมื่อวันพุธ (23 ต.ค.) ประธานาธิบดีวิโดโดของโดนีเซีย ได้เผยโฉมคณะรัฐมนตรีในการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 อย่างเป็นทางการ ซึ่งในส่วนของตำแหน่งสำคัญนั้น นอกเหนือจากรองประธานาธิบดีคือมารุฟ อามินแล้ว ศรีมุลยานี อินทราวาตี ยังคงดำรงตำแหน่งรมว.กระทรวงการคลัง และเรตโน มาร์ซูดี ยังคงอยู่ในตำแหน่งรมว.กระทรวงการต่างประเทศ

แต่ตำแหน่งที่น่าจะถือเป็นเซอร์ไพรส์ใหญ่ที่สุด คือการที่วิโดโดแต่งตั้งพล.ท.ปราโบโว สุเบียนโต หัวหน้าพรรคขบวนการอินโดนีเซียยิ่งใหญ่ (เกอรินทรา) และเป็นคู่แข่งซึ่งขับเคี่ยวกับเขาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 2557 ให้ดำรงตำแหน่งรมว.กระทรวงกลาโหม

ในมุมหนึ่งมองได้ว่า เป็นการสร้างความสมานฉันท์ทางการเมือง แต่ในอีกมุมหนึ่งเป็นข้อตกลงทางการเมืองครั้งสำคัญที่จะเพิ่มเสถียรภาพให้กับรัฐบาล เนื่องจากพรรคเกอรินทรา เป็นหนึ่งในพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ที่จะส่งผลให้รัฐบาลครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรมากถึง 74%

แต่ประชาชนจำนวนไม่น้อยและบรรดาองค์กรสิทธิมนุษยชนวิจารณ์ว่า วิโดโดกำลังพาบ้านเมืองถอยหลังกลับสู่ยุคมืดด้านสิทธิมนุษยชน จากการที่พล.ท.สุเบียนโต เคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษ และถูกกล่าวหาในเรื่องนี้อย่างหนัก

แน่นอนว่า การอำลาตำแหน่งซีอีโอของมาคาริม วัย 35 ปี มีขึ้นในช่วงที่โกเจ็กกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยตลาดในประเทศ โกเจ็ก สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับแกร็บ ที่ได้เงินสนับสนุนจากซอฟท์แบงก์ โดยปัจจุบัน แกร็บมีส่วนแบ่งตลาดแอพพลิเคชั่นเรียกรถรับจ้างถึง 64%

โกเจ็กพยายามที่จะแซงหน้าแกร็บ คู่แข่งจากสิงคโปร์ ในการให้บริการออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งทั้ง 2 บริษัทหวังที่จะพัฒนาแอพพลิเคชั่นของตนให้เป็นแอพพลิเคชั่นครบวงจร หรือ “ซูเปอร์แอพ” แม้สตาร์ทอัพอินโดนีเซีย ระดมทุนไปแล้วราว 1,000 ล้านดอลลาร์จากบริษัทเทนเซ็นต์และผู้ลงทุนรายอื่น ๆ นับถึงต้นปี 2562 แต่บริษัทยังคงเดินหน้าระดมทุนอย่างต่อเนื่องจนถึงขณะนี้

ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า อเมซอน ดอท คอม อิงค์ ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกออนไลน์ของสหรัฐกำลังเจรจาขอซื้อหุ้นในโกเจ็กเพื่อมีส่วนร่วมในการขยายธุรกิจทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ทีมบริหารของบริษัทปฎิเสธที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับผู้ที่จะเข้ามาลงทุนกับบริษัทในอนาคต

โกเจ็กเปิดตัวครั้งแรกในฐานะแอพพลิเคชั่นเรียกจักรยานยนต์รับจ้างในกรุงจาการ์ตาเมื่อปี 2558 และตั้งแต่นั้นมา บริษัทได้พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นทั้งผู้ให้บริการแชร์รถ การส่งอาหาร และกระเป๋าเงินดิจิทัล นอกจากนั้น โกเจ็กยังให้บริการตามสั่งอีกกว่า 10 ประเภท เช่น บริการทำความสะอาดบ้าน และบริการจัดส่งยารักษาโรค

บริษัทซีบี อินไซต์ ระบุว่า ส่วนหนึ่งของเงินทุนในรอบการระดมทุนในปีนี้ของโกเจ็ก ซึ่งมีมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ได้มาจากบริษัทวีซ่า อิงค์ของสหรัฐ ธนาคารไทยพาณิชย์ของไทย บริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ป และบริษัทมิตซูบิชิ คอร์ป ของญี่ปุ่น แต่ไม่มีการเปิดเผยเงื่อนไขของข้อตกลงการลงทุนเหล่านี้

เหตุผลที่บริษัทสตาร์ทอัพในเอเชียแข่งกันพัฒนาแอพพลิเคชั่นแบบครบวงจรหรือซูเปอร์แอพ ก็เพื่อทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงบริการที่หลากหลายจากแอพพลิเคชั่นเดียวบนมือถือ เช่น ช่วยให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงิน และสั่งอาหาร หรือเรียกรถรับ-ส่งได้ ซึ่งการจะประสบความสำเร็จในด้านนี้ บรรดาผู้ให้บริการต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความไว้วางใจ และแสดงให้เห็นว่าบริการของบริษัทสามารถปรับปรุงวิธีดำเนินชีวิตผ่านการเชื่อมโยงผู้คนกลุ่มเล็ก ๆ เข้ากับเศรษฐกิจในวงกว้างได้

ขณะที่ผลการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ของบริษัทกูเกิล และบริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของสิงคโปร์ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีมูลค่าทะลุ 2.4 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2568 และอินเทอร์เน็ตบนมือถือที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นจะช่วยกระตุ้นการเติบโตแก่ธุรกิจต่าง ๆ เช่น ธุรกิจให้บริการเรียกรถผ่านมือถือ (แชร์รถ) และอีคอมเมิร์ซ