"สุขุมวิท-พระราม4” แข่งเดือด บิ๊กเนมตัดราคาชิงยอดขาย

"สุขุมวิท-พระราม4” แข่งเดือด บิ๊กเนมตัดราคาชิงยอดขาย

ที่ปรึกษาอสังหาฯเผยคอนโดย่าน“สุขุมวิท-พระราม4”แข่งเดือด เห็นสัญญาณบิ๊กเนม โดดเล่นสงครามราคาชิงยอดขาย  คาดมีซัพพลายใหม่เติมตลาดอีก 2,700 ยูนิตอนาคต

ฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์แข่งขันคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิท – พระราม 4 ว่า มีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรงด้วยกลยุทธ์ราคา ระหว่างผู้ประกอบการใหญ่ อาทิ พฤกษา ,อนันดา , เอพี , ออริจิ้น ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการใกล้เคียงกัน เพื่อชิงยอดขายจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ฉุดกำลังซื้อ ขณะเดียวกันยังคาดว่าในทำเลดังกล่าวจะมีซัพพลายใหม่เข้ามาเติมอีกกว่า 2,700 ยูนิตในอนาคตอันใกล้ 

โดยในไตรมาส 3 ปีนี้ พบว่ามีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดประมาณ 7 โครงการ 3,117 ยูนิต มูลค่าโครงการ 14,435 ล้านบาท ขายไปแล้วประมาณ 2,015 ยูนิต หรือคิดเป็น 65% ของซัพพลายที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด เหลือขาย1,102 ยูนิตหรือคิดเป็น 35% และพบกว่า 95% ของซัพพลายที่อยู่ระหว่างการขายในตลาดเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

จากซัพพลายที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 3,117 ยูนิตดังกล่าวแล้ว พบว่า ผู้ประกอบการพัฒนาเป็นห้องแบบ 1 ห้องนอนมากที่สุด 2,412 ยูนิตหรือคิดเป็น 77.4% รองลงมาเป็น รูปแบบ 2 ห้องนอน 548 ยูนิต หรือคิดเป็น 17.6% และรูปแบบ สตูดิโอ ที่ประมาณ 83 ยูนิต หรือคิดเป็น 2.7% 

จากการสำรวจยังพบว่า รูปแบบ 2 ห้องนอนขายได้มากสุด 69.9 % หรือ 383 ยูนิต จากอุปทานทั้งหมด 548 ยูนิต รองลงมาคือ รูปแบบ 1 ห้องนอน ที่ขายไปแล้ว 1,543 ยูนิต หรือคิดเป็น 63.9 % จากอุปทานทั้งหมด 2,412 ยูนิต และรูปแบบ 3 ห้องนอนขึ้นไป ที่ขายได้ประมาณ 42 ยูนิต จากหน่วยขายทั้งหมด 74 ยูนิต หรือคิดเป็น 56.8%

จากข้อมูลยังพบว่า คอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่ ไตรมาส3 ปีนี้ ผู้ประกอบการอสังหาฯส่วนใหญ่ นิยมพัฒนาโครงการอยู่ในระดับราคา 5,000,001 - 7,500,000 บาทมากที่สุด จำนวน 1,092 ยูนิต หรือคิดเป็น 35.0% รองลงมาคือระดับราคา 3,000,001 - 5,000,000 บาทที่ประมาณ 740 ยูนิต หรือคิดเป็น 23.7% และระดับราคา 10,000,000 บาทขึ้นไปจำนวน 710 ยูนิต หรือ22.8 % ของซัพพลายที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด

นอกจากนี้ อัตราการขายของคอนโดมิเนียมบนทำเลย่านสุขุมวิท – พระราม 4 เมื่อพิจารณาดูตามช่วงระดับราคา พบว่า มีอัตราการขายใกล้เคียงกันในช่วงระดับราคา 10,000,000 บาทขึ้นไปเป็นช่วงราคาที่ขายดีคิดเป็นสัดส่วน 65.6% จากอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด และตามมาด้วยระดับราคา7,500,001 - 10,00,000 บาท ที่สามารถขายไปได้แล้ว 75.0% และระดับราคา 5,000,000 – 7,500,000 บาทขึ้นไป สามารถขายไปได้แล้ว64.4%