Selective Buy

Selective Buy

คาด SET ปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,635 – 1,640 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ปรับตัวขึ้น +10.68 จุด (+0.66%) ปิดที่ระดับ 1,631 จุด ด้วย Volume 3.9 หมื่นล้านบาท ตอบรับความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนหลังคาดว่าจะบรรลุข้อตกลงขั้นที่ 1 ได้ก่อนการประชุม APEC 16 – 17 พ.ย. ประกอบกับครม.อนุมัติมาตรการ “ชิม ช็อป ใช้ เฟส2 “ และลดค่าธรรมเนียมการโอน-จำนองอสังหาฯมูลค่าไม่เกิน 3 ลบ. เหลือ 0.01% ทั้งนี้เป็นแรงซื้อในกลุ่ม โรงไฟฟ้า, FIN, FOOD ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 565 ล้านบาท และ Net Long TFEX จำนวน 8,999 สัญญา อีกทั้งซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 2,425 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นกลาง - บวก คาด SET ปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,635 – 1,640 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว จากความคาดหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงขั้นที่ 1 ได้ก่อนการประชุม APEC ประกอบกับคาดการณ์ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เป็น 1.75% ในการประชุม 29 – 30 ต.ค.เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดย Fedwatch ให้โอกาสในการปรับลดดอกเบี้ยที่ 94.6% ซึงเป็นบวกต่อทิศทางการลงทุนทั่วโลก นอกจากนี้ยังได้ sentiment เชิงบวกจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล รวมถึงข่าวโอเปกจะพิจารณาลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมในการประชุม 5 – 6 ธ.ค. อย่างไรก็ตามกระแส Fund Flow ต่างชาติที่ยังคงเป็น Net sell ต่อเนื่องจะฉุดให้ดัชนีอ่อนตัวลง

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • หุ้นที่คาดว่างบ 3Q19 จะเติบโต GPSC, BGRIM, EA, ADVANC, BCH, CHG, EPG, TASCO ,PRM, JMT, JMART, BGC
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD) ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง
  • Defensive stock AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, TTW, CPALL

หุ้นแนะนำวันนี้

  • JMART (ปิด 10 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 11 บาท) คาดผลกำไรเติบโตต่อเนื่องจากธุรกิจในกลุ่มบริษัทลูกเดินหน้าสร้างผลกำไร นำโดย JMT, SINGER และ J -asset ขณะเดียวกันธุรกิจมือถือของ JMART ได้ประโยชน์โดยตรงจากมาตรการชิมช้อปใช้เฟส 2 เนื่องจากเป็นสินค้าเป้าหมายที่ประชาชนจะเข้าซื้อเพื่อรับส่วนลดที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการของรัฐ โดยเฉพาะโทรศัพท์ I Phone 11 ที่เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว
  • SPALI (ปิด 17.6 ซื้อ/เป้า 23) มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองให้กับผู้ซื้อบ้านที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ส่งผลบวกโดยตรงต่อ SPALI เพราะมีสัดส่วนบ้านและคอนโดในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทคิดเป็น 26% ของรายได้รวม ขณะที่เป็นเพียง 1 ใน 2 บริษัทที่คาดว่าจะยังมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทั้งในปีนี้และปีหน้า (บริษัทอื่นในกลุ่มคาดกำไรสุทธิปีนี้หดตัว)

บทวิเคราะห์วันนี้

RS (ปิด 15.6 ถือ /เป้า 16.5), WORK (ปิด 19.8 ซื้อ /เป้า 35)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) กลุ่มธุรกิจน้ำมัน - ได้ Sentiment บวกราคาน้ำมันดิบปิดสูงสุดในรอบ 1 เดือน รับข่าวสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงสวนทางกับที่ตลาดคาด: ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.49 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 55.97 ดอลลาร์/บาร์เรล จาก 1) คาดหวังที่ประชุมกลุ่ม OPEC เดือน ธ.ค.จะมีมติลดกำลังการผลิตลงอีก (เดิมลด 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน) เพื่อพยุงและลดผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และ 2) ตอบรับข่าวสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 สัปดาห์ โดย EIA รายงานสต๊อกน้ำมันดิบของสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.7 ล้านบาร์เรล
  • (+) กลุ่มอสังหาฯ - ได้ข่าวดีภาครัฐประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองอีกทั้งยังให้ ธอส.จัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ซื้อบ้านที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท: ครม.มีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นอสังหาฯและลดภาระให้กับผู้ต้องการจะมีบ้านเป็นของตัวเองด้วยการลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เป็น 0.01% และลดค่าจดจำนองจาก 1% เป็น 0.01% ให้กับผู้ซื้อบ้านและคอนโดในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท และ มอบหมายให้ ธอส.จัดสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ย 2.5% สำหรับ 3 ปีแรกให้กับผู้ต้องการซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 50,000 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาบังคับใช้หลังจากมีการประกาศจากกระทรวงมหาดไทยไปจนถึงวันที่ 24 ธ.ค.ปีหน้า ผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ระยะสั้นอาจจะทำให้งบ 4Q19 ชะลอตัวเนื่องจากมาตรการนี้ยังไม่ได้บังคับใช้ทำให้ผู้ซื้อจะชะลอโอนและไปโอนในปีหน้า อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อผลกำไรในปีหน้าโดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มี Backlog บ้านหรือคอนโดในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท คือ PSH LPN และ SPALI ซึ่งมีสัดส่วนบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาท 45%, 35% และ 26% ตามลำดับ
  • (+) กลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีก - ชิมช้อปใช้ เฟส 2 มาตามนัดคาดหนุนยอดใช้จ่ายและท่องเที่ยวในช่วงปลายปีเพิ่มขึ้น : ครม.อนุมัติมาตรการชิมช้อปใช้ เฟส 2 ตามที่เราและตลาดคาดไว้โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธ์ตั้งแต่วันนี้ โดยมาตรการเฟส 2 จะให้สิทธิ์กับประชาชนเพิ่มอีก 3 ล้านคน ด้วยการแจกเงินให้ 1,000 บาท และให้ส่วนลดหรือคืนเงินให้สำหรับการใช้จ่ายในกระเป๋าที่ 2 ในอัตรา 15% สำหรับการใช้จ่าย 30,000 บาทแรก (ไม่เกิน 4,500) และให้ส่วนลดอีก 20% ในส่วนของการใช้จ่ายที่เกิน 30,000 บาทแต่ไม่เกิน 50,000 บาท (ไม่เกิน 4,500) และขยายสิทธิ์ดังกล่าวให้กับผู้ลงทะเบียนและได้รับสิทธ์ในรอบแรกด้วย เราเชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีส่งผลบวกต่อกลุ่มค้าปลีกโดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ต่อ Bill สูงอาทิ JMART COM7 และ ROBINS รวมไปถึงผู้ประกอบการโรงแรมและ SPA อาทิ MINT, ERW และ SPA