เอเชียจ่อแซงหน้าสหรัฐ 'ฮับ' ธุรกิจร่วมลงทุนโลก

เอเชียจ่อแซงหน้าสหรัฐ 'ฮับ' ธุรกิจร่วมลงทุนโลก

เอเชียจ่อแซงหน้าสหรัฐ ฮับธุรกิจร่วมลงทุนโลก โดยปลายปีที่แล้ว กองทุนของธุรกิจร่วมลงทุนในเอเชียมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการคิดเป็นมูลค่า 323,000 ล้านดอลลาร์

ผลศึกษาของเทมาเส็ก บ่งชี้เอเชียเตรียมแซงหน้าสหรัฐ ในฐานะเป็นศูนย์กลางการลงทุนของธุรกิจร่วมลงทุนในปีหน้า ขณะสตาร์ทอัพที่เติบโตแบบก้าวกระโดดทั้ง“แกร็บ”-“โก-เจ็ก” ช่วยเพิ่มความน่าสนใจของบรรดานักลงทุนในธุรกิจร่วมลงทุนในอาเซียนได้มากขึ้น ด้าน“คริสติน ลาการ์ด”เตือนสงครามการค้าจะทำให้สหรัฐสูญเสียสถานะมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก

ผลศึกษาล่าสุดของบริษัทเทมาเส็ก บริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ เผยแพร่วานนี้ (21ต.ค.) ระบุว่าภูมิภาคเอเชีย นำโดยจีนจะแซงหน้าสหรัฐก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางธุรกิจร่วมลงทุน(เวนเจอร์ แคปิตัล)โลกอย่างเร็วที่สุดปีหน้า โดยเมื่อปลายปีที่แล้ว กองทุนของธุรกิจร่วมลงทุนในเอเชียมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการคิดเป็นมูลค่า 323,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ธุรกิจร่วมลงทุนในอเมริกาเหนือมีการบริหารจัดการกองทุนต่างๆที่มีมูลค่าการลงทุนโดยรวมอยู่ที่ 397,000 ล้านดอลลาร์

“ถ้าหากธุรกิจร่วมลงทุนในเอเชียยังคงมีอัตราการเติบโตแบบนี้ต่อไป ธุรกิจร่วมลงทุนในเอเชียจะมีมูลค่าแซงหน้าธุรกิจร่วมลงทุนในสหรัฐอย่างแน่นอนภายในปี 2563 ” อี้ ไฝ ข่าม หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของบริษัทพรีคิน บริษัทให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางเลือกมีฐานดำเนินงานในสหรัฐ กล่าว

ผลศึกษาชิ้นนี้ ระบุว่า กองทุนต่างๆที่เน้นลงทุนในภูมิภาคเอเชียมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 30% นับตั้งแต่ปี 2553 เทียบกับกองทุนร่วมทุนในอเมริกาเหนือที่มีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยที่ 9% ต่อปี และเนื่องจากนักลงทุนในปัจจุบันแสวงหาการลงทุนด้านเทคโนโลยีก้าวหน้า ศูนย์นวัตกรรมชั้นนำของโลกอย่างกรุงปักกิ่ง และนครเซี่ยงไฮ้ จึงมีบทบาทสำคัญและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าภูมิภาคเอเชียมากขึ้น เห็นได้จากการที่กองทุนสำหรับธุรกิจร่วมลงทุนขนาดใหญ่สุด 10 แห่งในเอเชียล้วนมีสำนักงานใหญ่อยู่ในจีน

“ตอนนี้นักลงทุนในธุรกิจร่วมลงทุนทั้งหลายหันมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจการชำระเงิน ธุรกิจการกู้เงิน และธุรกิจโลจิสติก ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ ขณะที่รายได้ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการเข้าถึงมือถือของผู้คนในเอเชีย ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจแก่บรรดาบริษัทสตาร์ทอัพอย่างมาก” นายจี้ซุน ฟุ หุ้นส่วนบริษัทจีจีวี แคปิตัล ซึ่งมีสำนักงานในกรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้ กล่าว

ผลศึกษาชิ้นนี้ ยังระบุว่า ภูมิภาคเอเชียผลักดันให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจร่วมลงทุนทั่วโลก โดยจำนวนของสถาบันต่างๆในเอเชียที่เข้าไปลงทุนในกองทุนเพื่อการลงทุนในช่วง5ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นสองเท่าตัว เทียบกับในสหรัฐร่วงลง 50% ในปี 2561 จาก 55% ในปี 2556

อย่างไรก็ตาม นายเต๋า จาง รองกรรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 2563 จะอยู่ที่ระดับ 5.8% ลดลงจากระดับ 6.1% ของตัวเลขคาดการณ์สำหรับปี 2562 และลดลงจากระดับการขยายตัวในปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ 6.2% โดยเศรษฐกิจจีนอยู่ในทิศทางที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง

แต่ นายจาง ก็มองว่า ตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจของจีน อยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล เนื่องจากจีนกำลังอยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การขยายตัวในแนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งหมายความว่า จีนจะลดการพึ่งพาเงินกู้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่จะหันไปมุ่งเน้นการอุปโภคบริโภคภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจแบบนี้ ย่อมส่งผลให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวช้าลง แต่จะมีคุณภาพการเติบโตที่ดีกว่า

ด้านนางคริสติน ลาการ์ด ซึ่งเตรียมดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) เตือนว่า สหรัฐเสี่ยงที่จะสูญเสียบทบาทในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลกหากยังคงเดินหน้าทำสงครามการค้ากับจีนต่อไป ทั้งยังเตือนด้วยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐควรเลิกกดดันธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ให้ลดอัตราดอกเบี้่ยนโยบายเพราะอาจจะกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอยู่ในระดับที่เหนือการควบคุม

“เมื่ออัตราว่างงานในประเทศอยู่ที่ 3.7% คุณไม่จำเป็นต้องกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจมากเกินไปด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพราะหากคุณทำแบบนี้จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น คุณต้องมีความระมัดระวังอย่างมาก”นางลาการ์ด กล่าว