คลังจำกัด2ล้านคนชิมช้อปใช้เฟสสอง

คลังจำกัด2ล้านคนชิมช้อปใช้เฟสสอง

คลังจำกัดกลุ่มร่วมโครงการชิมช้อปใช้เฟสสองไม่เกิน 2 ล้านคน เน้นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง เพิ่มแรงจูงใจการใช้จ่ายผ่านการคืนเงินสูงถึง 20% ของยอดใช้จ่าย ขณะที่ จะไม่มีการแจกเงิน 1 พันบาทเหมือนเฟสแรกแล้ว โดยจะเสนอครม.อนุมัติอังคารหน้า

นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี(ปฎิบัติงานกระทรวงการคลัง)เปิดเผยความคืบหน้ามาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว“ชิมช้อปใช้”เฟสสองว่า ขณะนี้ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจาณารายละเดียดโครงการเรียบร้อยและเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 22 ต.ค.นี้ หลังจากนั้นเปิดให้มีการลงทะเบียนและเดินหน้าโครงการได้ทันที  โดยในเฟสสองจะเน้นให้กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง ดังนั้น จึงจะไม่แจกเงิน 1,000 บาทแล้ว แต่จะให้เงินคืนเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการใช้จ่ายเงิน

ทั้งนี้ เปิดให้ลงทะเบียนในเวลาทำการในช่วงกลางวันแทนช่วงเวลากลางคืนอย่างในเฟสแรก โดยกำหนดจำนวนผู้ลงทะเบียนในชิมช้อปใช้เฟสสองเพียง 2 ล้านคนเท่านั้น น้อยกว่าเฟสแรกที่กำหนดไว้ 10 ล้านคน เนื่องจาก กระทรวงการคลังไม่อยากจะตั้งเป้าไว้สูง แต่ถ้าหากเปิดลงทะเบียนแล้วได้รับกระแสตอบรับดีอาจจะพิจารณาขยายจำนวนลงทะเบียนเพิ่มเติมในอนาคต

อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนในเฟสแรกจะได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนกับเฟสสองด้วย โดยระยะเวลาดำเนินโครงการขยายไปถึง 31 ธ.ค.2562 จากเดิมกำหนดไว้วันที่ 30 พ.ย.2562 โดยหวังว่าชิมช้อปใช้ทั้งสองเฟสจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี ซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว

“เป้าหมายชิมช้อปใช้ในเฟสสองนั้น เราตั้งเป้าไว้ไม่เหมือนกันในเฟสแรกเพราะอยากเน้นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง ส่วนคนที่ลงทะเบียนในเฟสแรกจะได้รับสิทธิประโยชน์เท่ากับคนที่ลงทะเบียนในเฟสสอง เช่น คนที่ใช้จ่ายผ่านกระเป๋าเงินช่องที่ 2 ในแอปเป๋าตัง จำนวน 30,000 บาท ซึ่งจะได้รับเงินคืน 15% หากใช้จ่ายเงินมากกว่า 30,000 บาท ถึง 50,000 บาท ก็อาจได้รับเงินคืนเพิ่มเป็นขั้นบันไดถึง 20%”

ส่วนเรื่องงบประมาณที่จะใช้ในชิมช้อปใช้เฟส 2 นั้น กระทรวงการคลังจะใช้งบประมาณที่เคยขอครม.ไว้เดิมที่ใช้ดำเนินการในชิมช้อปใช้เฟสแรกจำนวน 19,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังมีการใช้จ่ายไม่ถึงงบที่ขอไว้  จึงจะดึงงบประมาณส่วนนี้มาใช้โดยไม่ของบจากรัฐบาลเพิ่มเติม เนื่องจากไม่อยากจะเพิ่มภาระงบประมาณของแผ่นดิน

นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าจะเรียกกรมบัญชีกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาหารือเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน จำนวน 14.6 ล้านคนว่า จะมีมาตรการเพิ่มเติมอะไรบ้างและจะมีวิธีใดบ้างที่จะคัดกรองคนรวยที่ได้รับบัตรคนจนในเฟสแรกออกไป ซึ่งจะเร่งสรุปเงื่อนไขก่อนเปิดลงทะเบียนบัตรคนจนรอบใหม่ให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้ โดยหากสรุปแนวทางเรียบร้อยตนจะลงพื้นที่เพื่อเปิดรับสมัครผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการรับสวัสดิการในบัตรจนด้วยตัวเอง

ส่วนมาตรการช่วยเหลือชนชั้นกลาง ได้สั่งให้กรมสรรพากรเร่งสรุป 2 เรื่องหลัก คือ เรื่องความชัดเจนของเรื่องกองทุน กองทุนรวมหุ้นระยะยาว(แอลทีเอฟ)ที่ปีนี้จะหมดสิทธิประโยชน์ทางภาษีว่า จะมีกองทุนใดมาทดแทน มีรายละเอียดเป็นอย่างไร และเรื่องการปรับลดภาษีบุคคลธรรมดาให้เอื้อต่อคนชนชั้นกลาง ไม่ใช่เอื้อต่อกลุ่มคนที่มีฐานะร่ำรวยให้เสร็จสิ้นภายในไตรมาส 4 ปีนี้