KTC - ถือ

KTC - ถือ

สำรองที่เพิ่มขึ้นมากทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์

Event

กำไรสุทธิของ KTC ใน 3Q62 อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท ลดลง 2% QoQ และ 7% YoY ซึ่งต่ำกว่าประมาณกาณของเรา 12% และต่ำกว่า consensus 14% เนื่องจากมีการกันสำรองเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่กำไรสุทธิงวด 9M62 อยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท (+7.5%) คิดเป็นแค่ 70% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา ซึ่งเป็นเหตุให้เราปรับลดประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้าลง

lmpact

สินเชื่อ และยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเร่งตัวขึ้น

สินเชื่อขยายตัว 3% QoQ และ 9.3% YoY โดยสินเชื่อส่วนบุคคลโตในอัตราเร่ง 4% QoQ และ 9% YoY ในขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตก็โตต่อเนื่อง 3% QoQ และ 10% YoY ส่วนอัตราการเติบโตของยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทรงตัวอยู่ที่ 10.4% ทั้งนี้เราคิดว่ายอดสินเชื่อคงค้างที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความต้องการสินเชื่อผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น และการเร่งโตในจำนวนลูกค้าและบัตรเครดิต

ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นติดต่อกันสองไตรมาสเพื่อเร่งตัดหนี้สูญ

KTC ตั้งสำรอง 1.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% QoQ และ 16% YoY คิดเป็นค่าใช้จ่ายการตั้งสำรอง/สินเชื่อ (credit cost) ที่ 830bps ใน 3Q62 (เพิ่มขึ้นจาก 813bps ใน 2Q62 และ 783bps ใน 3Q61) ทั้งนี้ การที่บริษัทตั้งสำรองเพิ่มขึ้นติดต่อกันสองไตรมาสเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอส่งผลกระทบกับ KTC ใน 2 ด้าน โดยส่วนแรกทำให้หนี้เสียของกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลมีสูงขึ้นทำให้การตั้งสำรองเพิ่มขึ้น และอีกส่วนคือรายได้จากการติดตามหนี้เสียลดลง

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาด

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 1% QoQ และ 6% YoY ใน 3Q62 และเพิ่มขึ้น 4% ในงวด 9M62 โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดเพื่อหาลูกค้าใหม่ และหารายได้เพิ่ม ซึ่งดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เนื่องจากค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้

ปรับประมาณกำไรปี 2562/2563 ลดลง 7%/8% ปรับราคาเหมาะสมเป็น 46 บาท (จาก 47 บาท)

การที่บริษัทตั้งสำรองเพิ่มขึ้นมากเพื่อการตัดหนี้สูญ(write-off) ติดต่อกันมาสองไตรมาสทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ของ KTC และเป็นการชี้ถึงการใช้กลยุทธ์การตั้งสำรองเชิงรุกแบบผิดจังหวะ เนื่องจากกำไรสุทธิงวด 9M62 คิดเป็นแค่ 70% ของประมาณการกำไรของเราเท่านั้น เราจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2562/63 ของเราลง 7%/8% จากการปรับลดรายได้จากการติดตามหนี้เสีย,เพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเพิ่ม credit cost เป็น 735bps/720bps (จากเดิม 700bps/700bps)สำหรับปี 2562/63 ทั้งนี้ เรายังได้ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายใหม่ ที่ 46 บาท (ลดลงจากเดิมที่ 47 บาท) โดยอิงจาก P/E ปี 2563F ที่ 18.5x และปรับลดคำแนะนำเป็นถือ

Risks

การแข่งขันที่รุนแรงกดดันให้ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดเพิ่มขึ้น, การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของทางการเพื่อคุมการเติบโตของสินเชื่อผู้บริโภค