จับตาเจรจาการค้า

จับตาเจรจาการค้า

ความไม่แน่นอนของผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนในวันที่ 10 – 11 ต.ค.

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ปรับตัวขึ้น +4.01 จุด (+0.25%) ปิดที่ระดับ 1,616 จุด ด้วย Volume 4.2 หมื่นล้านบาท โดยแม้ว่าภาวะตลาดจะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนในช่วงปลายสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตามมีแรงซื้อรีบาวด์ตามเทคนิคหลังดัชนีไม่หลุดแนวรับ 1,600 จุดซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงซื้อในกลุ่ม Defensive stock เช่น โรงไฟฟ้า, TRANS และ ICT หนุนให้ดัชนีปิดบวกได้สำเร็จ ส่วนนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 1,092 ล้านบาท และ Net Short TFEX จำนวน 11,959 สัญญา แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 628 ล้านบาท

 

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นกลางคาด SET แกว่งตัว 1,610 - 1,625 จุด โดยแม้ว่าภาวะตลาดจะได้ปัจจัยหนุนจากรายงานการประชุมเฟดเดือนก.ย.ที่ระบุว่ากรรมการเฟดส่วนใหญ่สนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยเนื่องจากมีความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐและเตรียมหารือการเพิ่มขนาดงบดุลอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนในวันที่ 10 – 11 ต.ค.หลังสื่อจีนรายงานว่าการเจรจายังไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งกระแส Fund flow ต่างชาติที่ไหลออกต่อเนื่องโดย net sell 7.2 พันลบ. MTD รวมถึงการขึ้น XD 0.90 บาทของหุ้น PTT ในวันนี้ (10 ต.ค.) ซึ่งมีผลต่อดัชนีราว -2.5 จุดจะเป็นแรงกดดันให้ดัชนีมีความผันผวนต่อไป

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • AOT ,ERW , MINT ครม.เศรษฐกิจเตรียมพิจารณามาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวชุดใหญ่ในวันพรุ่งนี้ 11 ต.ค.
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD) ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง
  • Defensive stock AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, BGRIM, TTW, CPALL

หุ้นแนะนำวันนี้

  • ADVANC (ปิด 228 ซื้อ/เป้า 260) ปลอดภัยจาก Trade war, ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการ 3Q19 ยังเติบโตตรงข้ามกับหุ้น Big Cap ในกลุ่ม พลังงานและธนาคารที่ชะลอตัว โดยเราคาดกำไรสุทธิประมาณ 8.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10%qoq และ 25%yoy
  • JMT (ปิด 18.3 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 24) ทยอยสะสมคาดแนวโน้มกำไรจะยังพุ่งทำ All time high ได้ทุกไตรมาสจากรายได้ของการเรียกเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามพอร์ตหรือฐานลูกหนี้ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีพอร์ตหนี้ในการบริหารทั้งหมด 1.4 แสนล้านบาท สามารถสร้างกระแสเงินสดต่อเนื่องไปได้อีกอย่างน้อย 12 ปี

บทวิเคราะห์วันนี้

Thailand Strategy (เพิ่มความรู้และประสบการณ์ด้าน ESG)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+/-) Trade deal จีนกับสหรัฐเริ่มวันนี้ แต่ผลเจรจาพร้อมออกได้ทุกหน้า: เดิมเรามีมุมมองเชิงบวกว่าจีนและสหรัฐจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าร่วมกันได้ในการประชุมครั้งนี้ แต่ภายหลังที่สหรัฐประกาศแบนบริษัทเทคโนโลยี 28 แห่งของจีน และระงับวีซ่าเจ้าหน้าที่จีน จากกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวมุสลิมอุยกรูย์ ประกอบกับเช้าวันนี้หนังสือพิมพ์ South China ออกมาระบุว่าจีนอาจจะยุติการเจรจาเร็วกว่ากำหนด ทำให้ความเป็นไปได้ที่ 2 ประเทศจะบรรลุข้อตกลงนั้นยากขึ้น โดยเราแบ่งความเป็นไปได้ของการเจรจาออกเป็น 3 กรณี คือ 1) Best case จีน - สหรัฐ บรรลุข้อตกลง พร้อมเลื่อนและประกาศยกเลิกการขึ้นภาษีบางส่วน ตลาดหุ้นจะตอบรับในทางบวก 2) Base case คือ ผลเจรจาเป็นบวก มีการนัดเจราจาอีกในครั้งถัดไป แต่ยังขึ้นภาษีตามกำหนดเดิมในวันที่ 15 ต.ค. และ 15 ธ.ค. ตลาดหุ้นจะตอบรับในโทนเป็นกลาง ปรับขึ้นลงแรงในช่วงแรกและจะกลับสู่ภาวะ Side way และ 3) Worse case คือ จีน – สหรัฐ ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ ไม่มีการนัดหมายการเจรจาในครั้งถัดไป ต่างฝ่ายเดินหน้าขึ้นภาษีระหว่างกัน กรณีนี้ตลาดหุ้นจะปรับตัวลง และจะเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway down แต่ด้วยสถานการณ์ที่ออกได้ทุกหน้าจึงแนะนำให้นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ชะลอการลงทุนและรอดูความชัดเจนจากผลประชุมก่อน
  • (+/-) อังกฤษอาจจะต้องประชุมสภาในวันเสาร์ เพื่ออภิปรายกรณี Brexit ก่อนถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 31 ต.ค.นี้: Brexit เป็นอีกหนึ่งปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อมายาวนานและเป็นหนึ่งปัญหาที่ทั้งโลกเฝ้าติดตาม โดยล่าสุด IMF ออกมาระบุว่าการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปไม่ว่าจะแยกตัวในรูปแบบใดก็จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจของอังกฤษ ประเทศใน EU และกลุ่มประเทศคู่ค้าทั่วโลก ดังนั้นอังกฤษจึงจำเป็นที่ต้องหาข้อสรุปให้ได้โดยเร็วก่อนที่ข้อกำหนดเส้นตายของ Brexit จะเกิดขึ้นในวันที่ 31 ต.ค.นี้ โดยรัฐสภาอังกฤษวางแผนจะจัดการประชุมเพื่ออภิปรายต่อประเด็นดังกล่าวในช่วงวันเสาร์ที่ 19 ต.ค.นี้ เพื่อหาทางเลือกต่างๆที่จะเกิดขึ้น รวมถึงการแยกตัวจาก EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง (No deal) หรือการยกเลิก Brexit
  • (+/-) ติดตาม TISCO ประกาศงบพรุ่งนี้ จับทิศทางผลประกอบการรวมของกลุ่ม Bank ว่าจะดีหรือแย่อย่างที่ตลาดกังวลหรือไม่: กลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนน่าผิดหวังมากที่สุดในช่วง 2-3 เดือน ที่ผ่านมาเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจ กดดันต่อการเติบโตของยอดปล่อยสินเชื่อ และยังมีผลต่อ NPL ที่เร่งตัวขึ้น อีกทั้งยังมีแรงกดดันจากกระแส Disruption ของธุรกิจ ดังนั้นการประกาศงบ 3Q19 ของ TISCO ในวันพรุ่งนี้ จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าภาพรวมของกลุ่มธนาคารจะออกมาแย่อย่างที่ตลาดกังวลหรือไม่ (ธนาคารอื่นๆจะประกาศงบออกมาทั้งหมดในสัปดาห์ถัดไป)