“แสนสิริ”ชูดิจิทัลเคลื่อนสมาร์ทคอนโด

“แสนสิริ”ชูดิจิทัลเคลื่อนสมาร์ทคอนโด

“แสนสิริ” ทุ่ม 60 ล้าน ชูดิจิทัลยกระดับปลอดภัยลูกบ้าน "สมาร์ทคอนโด" หวังดันยอดขายหลังพบเป็นปัจจัยมีผลต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาฯมากขึ้นต่อเนื่อง ตั้งเป้าให้บริการ 47 โครงการในปี 63

นายทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลพบว่า ปัจจัยที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยตัดสินใช้เลือกโครงการอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นแนวสูงหรือแนวราบ นอกเหนือจากความเข้มแข็งของแบรนด์ การออกแบบ คุณภาพ ราคา เรื่องที่ขาดไม่ได้คือ ความปลอดภัย เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกโครงการมาโดยตลอด และมีแนวโน้มมากขึ้น บริษัทจึงเปิดตัว Sansiri Security System หรือระบบรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ (พื้นที่ส่วนกลาง) ด้วยเทคโนโลยี อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย

นอกจากนี้ยังจะเดินหน้าใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในทุกโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป เพื่อต่อยอดการให้บริการด้านการอยู่อาศัย ด้วยการร่วมมือกับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ลงทุนกว่า20 ล้านบาทตั้ง Smart Command Centre หรือศูนย์ควบคุมสังเกตการณ์จากส่วนกลางเต็มรูปแบบแห่งแรกในวงการอสังหาฯไทยให้กับลูกบ้านในโครงการ บริหารโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ทั้งด้านบริหารจัดการความปลอดภัย(Security Monitoring) และด้านการบริหารจัดการระบบวิศวกรรมอาคาร (IoT Facility Management) ด้วยเทคโนโลยี IoT ,ปัญญาประดิษฐ์ ( AI) ที่สามารถช่วยในเรื่องของการบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมาหลังจากการเปิดตัว พบว่า สามารถลดป้องกันปัญหาหรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้มากกว่า21 ครั้ง เช่น การเห็นงู หรือสัตว์ที่เป็นอันตรายกับผู้อยู่อาศัย ในสวน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลาง และสามารถดูแลอุปกรณ์ภายในอาคารไม่ว่าจะเป็นระบบน้ำ ไฟฟ้าก่อนที่จะเสียหายได้ 13 ครั้งทำให้ประหยัดเงินค่าซ่อมแซมได้กว่า 1 ล้านบาทด้วยการใช้ระบบวิศวกรรมอาคาร ถือเป็นจุดขายที่สร้างความแตกต่างให้กับแสนสิริกับคู่แข่ง"

ล่าสุดยังได้ใช้งบลงทุนกว่า 60 ล้านบาท รีแบรนด์จาก Smart Command Centre สู่ ‘LIV-24’ (LIV ย่อมาจาก Living)ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจใหม่ของ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในการให้บริการมาตรฐานที่อยู่อาศัย ด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย พร้อมยกระดับความปลอดภัยตลอด24 ชั่วโมงให้กับลูกบ้านในโครงการ โดยตั้งเป้าให้ครอบคลุม 47 โครงการทั้งแนวสูงและแนวรายของบริษัทภายในปี 2563 จากปีนี้ที่ดำเนินการแล้ว 27 โครงการ โดยลูกบ้านจะเสียค่าบริการเพิ่ม2-3บาทต่อตร.ม(แนวสูง) /ตร.ว.(แนวราบ)ในค่าส่วนกลางของโครงการ ในปีที่3 โดย2ปีแรกทางบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบ

นอกจากนี้ ในอนาคต ยังมีแผนการต่อยอดขอบข่ายการทำงานทั้งในด้านของการบริหารความปลอดภัย ที่จะเพิ่มการเชื่อมต่อข้อมูลจากระบบ Visitor Management System ที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลของผู้มาติดต่อทั้งหมด และระบบ Face Recognition ที่สามารถจัดเก็บภาพใบหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลของผู้รับเหมา และในส่วนของ IoT Facility Management จะนำมาใช้ในการบริหารจัดการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (Smart Grid) และการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เพิ่มเติม