'ภากร'มั่นใจหุ้นไทยแกร่ง รับความผันผวนได้ดี

'ภากร'มั่นใจหุ้นไทยแกร่ง รับความผันผวนได้ดี

“ภากร” มั่นใจตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่ง รองรับความผันผวนได้ดี เหตุมีหุ้นใหม่ ขนาดใหญ่เข้าจดทะเบียนต่อเนื่อง แนะลงทุนหุ้นที่ได้รับผลกระทบน้อยจากความไม่แน่นอน เน้น “อาหาร-ท่องเที่ยว-เฮลท์แคร์-ขนส่ง” ด้าน ผลสำรวจซีอีโอ ส่วนใหญ่คาดรายได้ปีนี้โตมากกว่า 6%

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวลดลง เนื่องจากสถานการณ์โลกมีความไม่แน่นอนที่มากขึ้น ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจน นักลงทุนจึงต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และพิจาณาการลงทุนโดยดูความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนเป็นรายบริษัท เนื่องจากแต่ละบริษัทได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบในต่างประเทศไม่เท่ากัน

“อยากให้นักลงทุนให้ความสำคัญในการศึกษาข้อมูลให้มากขึ้น ส่วนปัจจัยเศรษฐกิจไทยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา  เพราะ รัฐบาลมีการลงทุนต่อเนื่อง การบริโภคทรงตัว แม้จะได้รับผลกระทบจากการส่งออก และการท่องเที่ยว แต่ขณะนี้เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น”

 ส่วนการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับ จีน ในช่วงวันที่ 10-11 ต.ค.นี้ คาดว่าผลที่ออกมาคงจะไม่เลวร้ายไปกว่าปัจจุบัน  แต่ต้องติดตามต่อไปว่าจะคลี่คลายไปทิศทางที่ดีเมื่อไหร่   โดยปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยถือว่ามีความแข็งแกร่ง สามารถรองรับความผันผวนได้มากขึ้น  เพราะ ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯมีหุ้นใหม่ เข้ามาจดทะเบียนต่อเนื่อง ทั้งบริษัท บริษัทขนาดเล็กขนาดกลาง และขนาดใหญ่     ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)  ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปี   และมีสภาพคล่องการซื้อขายหลักทรัพย์ (วอลุ่มเทรด) ที่สูงที่สุดในอาเซียนติดต่อกันมาหลายปี  

ทั้งนี้การลงทุนช่วงนี้นักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลประทบจากปัจจัยความไม่แน่นอนที่น้อย   เช่น กลุ่มอาหาร ท่องเที่ยว เกี่ยวกับ ร้านอาหาร  โรงแรม  กลุ่มขนส่ง กลุ่มเฮลท์แคร์ ที่เป็นจุดแข็งของประเทศ  หรือลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ลงทุนในหุ้นที่มีผลตอบแทนเงินปันผลสูง 

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า  การปรับฐานของดัชนีหุ้นไทย ในช่วงที่ผ่านมา เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค เพราะ  นักลงทุนลดความเสี่ยงเพื่อรอดูปัจจัยสำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ การเจรจาเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ การดำเนินนโยบายการเงินของประเทศสำคัญๆ ของโลก อย่าง สหรัฐอเมริกา  ยุโรป

ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการสำรวจความเห็นผู้บริหาร (CEO Survey) ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจ และการเติบโตของธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 โดยมีซีอีโอ ตอบแบบสอบถาม จำนวน  118 แห่ง คิดเป็น 46% ของมูลค่าตลาดรวม พบว่า 52% ของกลุ่มตัวอย่างยังเชื่อมั่นว่ารายได้ของบริษัทในปีนี้จะเติบโตได้ 6% ขึ้นไป แต่ในขณะเดียวกัน กลุ่มตัวอย่างอีก 37% มองว่ารายได้ของบริษัทมีโอกาสจะเติบโตไม่เกิน 3% เท่านั้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนดีในปีนี้ 3 อันดับแรก ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 28.56% เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพิ่มขึ้น 23.07% เงินทุนและหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้น 22.69% ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนแย่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ปิโตรเคมี ลดลง 31.18% ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ลดลง 25.27% และเหล็ก ลดลง 20.21%

ทั้งนี้ ผู้บริหารส่วนใหญ่มองว่าจีดีพีของไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ในระดับ 2 – 4% สอดคล้องกับมุมมองของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งคาดว่าจะเติบโตราว 2.8% โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากปัจจัยภายในประเทศ ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเนื่องจากสงครามการค้า การแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งกระทบความสามารถในการส่งออก

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารส่วนมากเพิ่มความระมัดระวังในการขยายการลงทุนมากขึ้น แต่ยังคงแผนการลงทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ซีอีโอเห็นว่าการยกระดับมาตรฐานด้านการทำธุรกิจที่ยั่งยืน (ESG) จะเป็นผลบวกต่อธุรกิจมากกว่าปัจจัยอื่น