ติดตามครม.เศรษฐกิจ

ติดตามครม.เศรษฐกิจ

เน้นการเข้าซื้อเล่นรีบาวด์ช่วงอ่อนตัวเช่นเดิม

ตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์

SET Index อ่อนตัวลง -4.73 จุด (-0.29%) ปิดที่ระดับ 1,606 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.8 หมื่นล้านบาท หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเดือนก.ย.อ่อนแอลงทั้งดัชนีภาคบริการและภาคการผลิต ประกอบกับนักลงทุนชะลอการซื้อเพื่อติดตามการเจรจาข้อพิพาทการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐ-จีนในสัปดาห์หน้า (10 – 11 ต.ค.) ส่งผลให้ Volume การซื้อ/ขายค่อนข้างบาง ส่วนนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 1,734 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 187 ล้านบาท รวมถึง Net Short TFEX จำนวน 13,072 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นกลางคาด SET แกว่งตัว 1,600 - 1,615 จุด โดยแม้ว่าภาวะตลาดจะได้แรงหนุนจากคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุม 29 – 30 ต.ค.เพื่อพยุงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงหลังตัวเศรษฐกิจที่สำคัญเดือนก.ย.หดตัว ประกอบกับความคาดหวังเชิงบวกการเจรจาข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนในวันที่ 10 – 11 ต.ค. รวมถึงครม.เศรษฐกิจเตรียมออกมาตรการกระตุ้นศก.ด้านการส่งออก-ท่องเที่ยวในวันนี้ 7 ต.ค. ซึ่งเป็นแรงหนุนต่อดัชนี อย่างไรก็ตามกระแส Fund flow ต่างชาติที่ยังคงไหลออกต่อเนื่องโดย Net sell 5.4  พันลบ. MTD. รวมถึง Preview งบ 3Q19 ของกลุ่มหลัก เช่น ธนาคารและพลังงานที่คาดว่ากำไรชะลอตัวลงจะเป็นแรงกดดันต่อทิศทางดัชนีในช่วงนี้ ดังนั้น ยังคงเน้นการเข้าซื้อเล่นรีบาวด์ช่วงอ่อนตัวเช่นเดิม

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มท่องเที่ยว (ERW, MINT ) และส่งออก (GFPT, TU) ครม.เศรษฐกิจจะพิจารณามาตรการกระตุ้นศก.ด้านการส่งออก-ท่องเที่ยวในวันนี้ 7 ต.ค.
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, THANI) ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง
  • Defensive stock AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, BGRIM, TTW, CPALL

หุ้นแนะนำวันนี้

  • GPSC (ปิด 70.5 ซื้อ/เป้า 78 บาท) Bond yield ที่ลดลง จะหนุนให้ตลาดกลับมาสนใจหุ้นปันผลและหุ้นที่ให้รายได้มั่นคงอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งเรามองว่า GPSC ยังมีความน่าสนใจเนื่องจาก Valuation ยังไม่แพงหากเทียบกับกำไรที่จะเพิ่มขึ้นจากการรวมหุ้นและผลประกอบการของ GLOW พลังงานเข้ามาตั้งแต่ 4Q19
  • EPG (ปิด 7.6 ซื้อเก็งกำไร/เป้าสูงสุด IAA Consensus 9.4) คาดกำไรสุทธิ 2Q20 (ก.ค.-ก.ย.19) น่าจะกลับมาเติบโตทั้ง qoq และ yoy จากการฟื้นตัวดีขึ้นในทุกธุรกิจ โดยเฉพาะ Packaging และ Aeroklas ซึ่งได้ผลบวกจากต้นทุนเม็ดพลาสติกที่ลดลง (HDPE, PP, PET) และยังมีแนวโน้มจะลดลงอีกตามราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน

บทวิเคราะห์วันนี้

Thailand Strategy (ลงมาทยอยเก็บ)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) Trade deal ลุ้นสหรัฐเลื่อนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน: สัปดาห์นี้เชื่อว่านักลงทุนทั่วโลกคงเฝ้าติดตามการประชุมเพื่อยุติข้อพิพาทการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐในวันที่ 10 ต.ค.นี้ เบื้องต้นเราคาดผลการเจาจาน่าจะออกมาในทางบวก และมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้ามูลค่า 2.5 แสนล้านเหรียญฯในอัตรา 30% ออกไปก่อน (เดิมภาษีนำเข้าสินจากจีนมูลค่า 2.5 แสนล้านจะถูกเรียกเก็บภาษีสูงขึ้นจาก 25% เป็น 30% มีผลบังคับใช้ 15 ต.ค.นี้) เนื่องจากแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะ การชะลอตัวของดัชนี ISM ทั้งภาคการผลิตและบริการ ประกอบกับ โดนัล ทรัมป์ ยังมีประเด็นเรื่องการถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี จึงเชื่อว่า ทรัมป์ จะเลือกลดปัญหาจาก Trade war ออกไปก่อน
  • (+) แท่นขุดเจาะน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หนุนราคาน้ำมันดิบกลับมาปิดบวกได้เป็นวันแรกในรอบ 9 วันทำการ: สหรัฐรายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบรายสัปดาห์ลดลงอีก 3 แท่น เป็น 710 แท่น ลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 7 และนับเป็นการลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบกว่า 2 ปี (สหรัฐเคยมีแท่นขุดเจาะน้ำมันมากที่สุดที่ 1,609 แท่นในเดือน ต.ค.ปี 2014) ปัจจัยนี้ช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบ WTI กลับมาปิดบวก 36 เซนต์ (+0.7%) ปิดที่ 52.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่สัปดาห์นี้ความคาดหวังเชิงบวกจาก Trade war คาดว่าจะหนุนให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวต่อเนื่องและเป็นบวกต่อ Sentiment ของหุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมันหลังจากที่ถูกกดดันอย่างหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา
  • (+/) ติดตาม TISCO ประกาศงบ 3Q19 จับทิศทางผลประกอบการรวมของกลุ่ม Bank ว่าจะออกมาไม่ดีอย่างที่ตลาดกังวลหรือไม่: กลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนน่าผิดหวังมากที่สุดในช่วง 2-3 เดือน ที่ผ่านมาเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจ กดดันต่อการเติบโตของยอดปล่อยสินเชื่อ และยังมีผลต่อ NPL ที่เร่งตัวขึ้น อีกทั้งยังมีแรงกดดันจากกระแส Disruption ของธุรกิจ ดังนั้นการประกาศงบ 3Q19 ของ TISCO ในวันที่ 11 ต.ค.19 จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าภาพรวมของกลุ่มธนาคารจะออกมาแย่อย่างที่ตลาดกังวลหรือไม่ (ธนาคารอื่นๆจะประกาศงบในสัปดาห์ถัดไป)