'เนชั่น บอร์ดแคสติ้ง' เพิ่มทุนระดมเงิน 141.89 ลบ. ลงทุนธุรกิจหลัก

'เนชั่น บอร์ดแคสติ้ง' เพิ่มทุนระดมเงิน 141.89 ลบ. ลงทุนธุรกิจหลัก

'เนชั่น บรอดแคสติ้ง' เพิ่มทุน 267.71 ล้านหุ้น ขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิม อัตรา 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 0.53 บาท มูลค่า 141.89 ล้านบาท หวังนำเงินขยายธุรกิจหลัก พร้อมไฟเขียว บริษัทย่อยซื้อหุ้น 'แฮปปี้' เพื่อรุกธุรกิจโฮมช้อปปิ้ง

นาย ฉัตรชัย ภู่โคกหวาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NBC แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท(บอร์ด)อนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญถือหุ้น ครั้งที่ 2/2562 ในวันที่ 18 พ.ย. นี้ เพื่อพิจารณาอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวน 184.90 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 720.34 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 535.43 ล้านบาท โดยตัดหุ้นสามัญในส่วนที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายจำนวน 184.90 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1บาท และอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 803.15 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 267.71ล้านหุ้น เสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถืออยู่ (Rights Offering) อัตรา 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ที่ราคาหุ้นละ 0.53 บาท มูลค่ารวมไม่เกิน 141.89 ล้านบาท ระยะเวลาเสนอขายตั้งแต่วันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2562

สำหรับเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน จะนำไปใช้เป็นเงินทุนเพื่อรองรับการลงทุนสำหรับการขยายตัวของธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการเป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ และให้บริการข่าวสารโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์อย่างครบวงจร และสื่อรูปแบบใหม่ (New Media) ตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ด้วยการนำข่าวสารของกลุ่มบริษัทฯ มาพัฒนาเป็นบริการด้านข้อมูลข่าวสารในรูปแบบต่างๆ เผยแพร่ผ่านช่องทางการสื่อสารรูปแบบใหม่ในยุคดิจิทัลเพื่อให้บริษัทฯ สามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในอุตสาหกรรมสื่อในปัจจุบัน เช่น เว็บไซด์สื่อสังคมออนไลน์โทรศัพท์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ เป็นต้น รวมไปถึงการพัฒนารูปแบบการหารายได้อื่นๆ โดยการนำเนื้อหาสาระ (Content) และข้อได้เปรียบด้านต่างๆ จากการประกอบธุรกิจสื่อโทรทัศน์มาต่อยอดขยายไปสู่ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น การจัดกิจกรรมพิเศษ การจัดอบรมสัมมนา และการจัดกิจกรรมทัวร์ เป็นต้น


ดังนั้นเพื่อให้บริษัทฯ สามารถดำเนินงานได้ตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ข้างต้น บริษัทฯ จะใช้เงินทุนจำนวนประมาณ120 ล้านบาท ในการลงทุนเพื่อปรับปรุง และก่อสร้างส่วนเพิ่มเติมสำหรับการสร้างห้องสตูดิโอ ห้องอบรม ห้องสัมมนา ห้องรับรองลูกค้า และสำนักงานของบริษัทฯ รวมถึงการซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถรองรับกับแผนกลยุทธ์ในการปรับตัวที่จะเปลี่ยนจากธุรกิจที่เน้นสื่อโทรทัศน์แบบเดิม เป็นธุรกิจที่มีทั้งสื่อโทรทัศน์ และสื่อรูปแบบใหม่ ทั้งด้านการให้บริการข้อมูล ด้านการสัมมนาและกิจกรรมเกี่ยวกับธุรกิจมีเดีย ด้านการให้บริการและจัดการประชาสัมพันธ์องค์กรผ่านเครือข่ายสังคม และด้านการให้บริการ Content Marketing ที่ช่วยต่อยอด และอาจสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ในอนาคตได้ โดยบริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะใช้เวลาดำเนินการแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2563


รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางเงิน และรองรับการดำเนินงานปกติในธุรกิจหลักธุรกิจเกี่ยวเนื่องและการต่อยอดธุรกิจของบริษัทฯ และบริษัทย่อย จำนวนประมาณ 21.89 ล้านบาทโดยแผนการใช้เงินดังกล่าวข้างต้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ กระแสเงินสด แผนการดำเนินธุรกิจ แผนการลงทุน จำนวนเงินที่ได้รับหลังจากการเพิ่มทุน ความจำเป็นและความเหมาะสมอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการบริษัทฯ เห็นสมควร โดยจะคำนึงถึงประโยชน์ของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ


นอกจากนี้ บอร์ด อนุมัติให้บริษัท เอ็นบีซี เน็กซ์วิชั่น จำกัด (NNV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯที่ ถือหุ้น คิดเป็นร้อยละ 99.99 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดใน NNV ให้เข้าจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ในบริษัท แฮปปี้โปรดักส์แอนด์เซอร์วิส จำกัด (Happy) ซึ่งประกอบธุรกิจการขายสินค้าและบริการผ่านทางโทรทัศน์(TVHome Shopping) จำนวน 500,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 30 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมของหุ้นที่จองซื้อเท่ากับ 15 ล้านบาท


ทั้งนี้การซื้อหุ้นHappy จะช่วยกระจายความเสี่ยงของการลงทุนและลดการพึ่งพิงรายได้หลักของบริษัทฯ ซึ่งมาจากธุรกิจสื่อโทรทัศน์โดยบอร์ดบริษัท ประเมินว่าธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้ง มีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคต ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทฯ และส่งผลดีต่อสถานะทางการเงิน อีกทั้ง เล็งเห็นว่า ธุรกิจ TV Home Shopping จะทำให้เกิดการทำงานร่วมกัน(Synergy) ระหว่างธุรกิจสื่อโทรทัศน์ซึ่งเป็นธุรกิจเดิมของบริษัทฯ และธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งของ Happy ซึ่งธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้ง เป็นหนึ่งในธุรกิจยุคดิจิทัลที่เข้ามามีบทบาทที่มากขึ้นในช่วงระหว่าง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา โดยในประเทศไทย ธุรกิจนี้ยังถือว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีขนาดเล็กแต่เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มในการเติบโตในอนาคตอีกมาก เนื่องจากมูลค่าตลาดทีวีโฮมช้อปปิ้งของประเทศไทยคิดเป็นร้อยละเพียง 0.50 ของมูลค่าตลาดค้าปลีกรวม เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดทีวีโฮมช้อปปิ้งของประเทศใกล้เคียง เช่น ประเทศเกาหลีใต้ซึ่งเป็นประเทศตัวอย่างของการเติบโตธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งที่สามารถสร้างรายได้มากถึง 4 แสนล้านบาทต่อปีที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศหรือมีมูลค่าตลาดทีวีโฮมช้อปปิ้งคิดเป็นถึงร้อยละ 4 มูลค่าตลาดค้าปลีกรวม และเมื่อพิจารณาจากภาพรวมอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของธุรกิจค้าปลีกไทยนั้น พบว่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.90ต่อปี(ข้อมูลจากดัชนีสมาคมผู้ค้าปลีกไทย)