ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน'พุ่ง'รับมาตรการปั๊มศก.

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน'พุ่ง'รับมาตรการปั๊มศก.

"สภาธุรกิจตลาดทุนไทย" เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า  ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.64% คาดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐหนุนจีดีพีโต เงินนอกไหลเข้า  ด้าน "บล.ทิสโก้"ชี้ตลาดหุ้นไทยไตรมาส 4 มีโอกาสแตะ 1,700 จุด

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือนต.ค.2562 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ธ.ค.2562)อยู่ระดับ 111.62 ปรับเพิ่มขึ้น 8.64% จากสำรวจครั้งก่อน สะท้อนนักลงทุนเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจากนี้ถึงสิ้นปีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เพราะคาดหวังผลจากมาตรรัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจไทยเติบโต และคาดเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้า จากที่ผ่านมาขายหุ้นไทยออกไปจำนวนมาก ส่วนปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นคือ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ เช่น เทรดวอร์ เบร็กซิท ปัญหาในตะวันออกกลาง

ทั้งนี้พบว่า  นักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น 37.15 % อยู่ที่ 114.29 อยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral) เช่นเดิม ,นักลงทุนรายบุคคลความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น 31.64 % อยู่ที่ 98.39  มาอยู่ใน Zone ทรงตัว นักลงทุนสถาบันในประเทศมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น 11.11 % อยู่ที่ 111.11 อยู่ใน Zone ทรงตัว ส่วนนักลงทุนต่างประเทศ มีความเชื่อมั่นลดลง 10.71 % อยู่ที่ 125 แต่ยังคงอยู่ใน Zone ร้อนแรง (Bullish)เหมือนเดิม สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนมากสุด คือหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG) ส่วนหุ้นไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธุรกิจเหล็ก (STEEL)

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ส่วนตัวคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะไปแตะระดับ 1 ,700 จุด หรือมากกว่าได้ หากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้จริง ยิ่งมาตรการชิมช้อปใช้ ทำให้ประชาชนใช้จ่ายเงินมากขึ้นยิ่งส่งผลดีกับเศรษฐกิจ ส่วนเม็ดเงินต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่องตั้งแต่ส.ค.ถึงปัจจุบัน 7 หมื่นล้านบาท สะท้อนว่านักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในไทย เป็นแอคทีฟฟันด์ ดังนั้นจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนระยะยาวมากขึ้น

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)วรรณ จำกัด กล่าวว่า คาดว่าตลาดหุ้นยังคงผันผวนต่อเนื่องถึงสิ้นปีหน้า มีความเสี่ยงจากสงครามการค้า ที่จะลากยาวไปถึงสิ้นปีหน้า การลงทุนในช่วงไตรมาส 4ปีนี้ จึงแนะนำให้นักลงทุนลดความเสี่ยง โดยกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือมากขึ้น และพันธบัตรรัฐบาล  ส่วนหุ้นเน้น ลงทุนในหุ้นดีเฟนซีฟ จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และใช้กลยุทธ์สินทรัพย์ทางเลือกเช่น ตราสารอนุพันธ์ ในการบริหารความเสี่ยง เพิ่มผลตอบแทน

นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย กล่าวว่า คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยระยะสั้นถึงสิ้นปีนี้ จะแกว่งในกรอบ 1,586-1,681 จุด แต่หากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนในช่วงต้นเดือนต.ค.นี้ สามารถบรรลุข้อตกลงได้บางส่วน ทำให้ระยะสั้นดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไประดับ 1,681 จุดได้ 

ส่วนการจัดตั้งกองทุนหุ้นยั่งยืน ( SEF) แทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)ที่จะหมดอายุในสิ้นปีนี้ คาดว่าจะทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาซื้อหุ้นลดลง 5 พันล้านบาท เหลือ 2.95 หมื่นล้านบาทจากเม็ดเงิน LTF ที่จะเข้ามาซื้อหุ้นไทยปีละ 3.4 หมื่ยนล้านบาท โดยหุ้นที่จะได้รับประโยชน์คือหุ้นที่อยู่ดัชนีTHSI และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน