ปัจจัยลบรุมเร้า

ปัจจัยลบรุมเร้า

คาด SET ปรับตัวลงทดสอบ 1,590 - 1,600 จุด จากความกังวลสงครามการค้าครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐ-ยุโรป

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ปรับลงแรง -10.45 จุด (-0.64%) ปิดที่ระดับ 1,613 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.2 หมื่นล้านบาท ตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นรอบบ้านที่ผิดหวังตัวเลข PMI ภาคการผลิตของสหรัฐที่ปรับตัวลงต่ำสุดในรอบ 10 ปีจากผลกระทบ Tradewar ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงจากความกังวล Demand ที่หดตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้มีแรงขายในกลุ่ม BANK PETRO TRANS กดดันดัชนี ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 780 ล้านบาท และ ขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 3,578 ล้านบาท แต่ Net Long TFEX จำนวน 1,350 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นลบคาด SET ปรับตัวลงทดสอบ 1,590 - 1,600 จุด จากความกังวลสงครามการค้าครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐ-ยุโรป หลัง WTO เห็นชอบข้อเรียกร้องของสหรัฐในการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากยุโรปวงเงิน 7.5 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากรัฐบาลในประเทศยุโรปให้การอุดหนุนบริษัทแอร์บัสอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งสหรัฐจะเริ่มเก็บภาษีในวันที่ 18 ต.ค. ส่วนฝั่ง EU เผยว่าพร้อมจะตอบโต้สหรัฐหากมีการเรียกเก็บภาษี นอกจากนี้ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดยิ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว และในส่วนของราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงต่อเนื่องล่าสุดต่ำกว่า 53 US/Barrel จากสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นรวมถึงความกังวล Demand ที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอีกปัจจัยที่กดดันทั้งกลุ่มพลังงานและดัชนีให้ปรับตัวลง

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มท่องเที่ยว (ERW, MINT ) และส่งออก (GFPT, TU) ครม.เศรษฐกิจจะพิจารณามาตรการกระตุ้นศก.ด้านการส่งออก-ท่องเที่ยวในวันที่ 7 ต.ค.
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, THANI) ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง
  • Defensive stock AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, BGRIM, TTW, CPALL

หุ้นแนะนำวันนี้

  • JMT (ปิด 18.4 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 24) ทยอยสะสมคาดแนวโน้มกำไรจะยังพุ่งทำ All time high ได้ทุกไตรมาสจากรายได้ของการเรียกเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามพอร์ตหรือฐานลูกหนี้ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีพอร์ตหนี้ในการบริหารทั้งหมด 1.4 แสนล้านบาท สามารถสร้างกระแสเงินสดต่อเนื่องไปได้อีกอย่างน้อย 12 ปี
  • EPG (ปิด 7.4 ซื้อเก็งกำไร/เป้า IAA Consensus 7.8) คาดกำไรสุทธิ 2Q20 (ก.ค.-ก.ย.19) น่าจะกลับมาเติบโตทั้ง qoq และ yoy จากการฟื้นตัวดีขึ้นในทุกธุรกิจ โดยเฉพาะ Packaging และ Aeroklas ซึ่งได้ผลบวกจากต้นทุนเม็ดพลาสติกที่ลดลง (HDPE, PP, PET) และยังมีแนวโน้มจะลดลงอีกตามราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน

บทวิเคราะห์วันนี้

Thailand Strategy (Krungsri corporate day)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) ดาวโจนส์ร่วงอีก 490 จุด ผิดหวังตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐ ซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจถดถอย: ดัชนีดาวโจนส์ร่วงอีก 494 จุด (-1.86%) ปิดที่ระดับ 26,079 จุด ภาพรวมตลาดยังถูกซ้ำเติมจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยล่าสุดสหรัฐประกาศตัวเลขจ้างงานภาคเอกเชนเดือน ก.ย.เพิ่มขึ้นเพียง 135,000 ตำแหน่ง น้อยกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 140,000 ตำแหน่ง และลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 157,000 ตำแหน่ง
  • (-) Trade war สหรัฐ - ยุโรป เตรียมปะทุ หลัง WTO ตัดสินว่า EU ให้การอุดหนุนแอร์บัสผิดต่อหลักกฏหมาย: คณะอนุญาโตตุลาการของ WTO มีคำตัดสินว่า สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, ฝรั่งเศส และ สเปน ให้การอุดหนุนอย่างผิดกฏหมายกับบริษัทแอร์บัสในการผลิตและจำหน่ายซึ่งมีผลต่อการผลิตและจำหน่ายอย่างมีนัยของบริษัทโออิงค์ของสหรัฐ จึงเห็นชอบให้สหรัฐสามารถเรียกภาษีนำเข้าจาก EU เพื่อเป็นการตอบโต้ที่ผิดกฏหมายดังกล่าวได้ โดยล่าสุด สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีเครื่องบินพลเรือนขนาดใหญ่ ในอัตรา 10% และเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้าเกษตรและสินค้าประเภทอื่นๆ ตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค.19 เป็นต้นไป
  • (-) กลุ่มธุรกิจน้ำมัน – ยังเหนื่อยราคาน้ำมันร่วงอีก USD1/bbl จากสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาด: วานนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐประกาศตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นอีก 3.1 ล้านบาร์เรลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.3 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ตลาดน้ำมันยังถูกกดดันจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงปัญหา Trade war ระหว่างสหรัฐกับ EU ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้