จับตา! 'ประท้วงฮ่องกง' ป่วนวันชาติจีน

จับตา! 'ประท้วงฮ่องกง' ป่วนวันชาติจีน

จับตาการชุมนุมประท้วงในฮ่องกง ป่วนวันชาติจีนในวันนี้ (1 ต.ค.) หลังเกิดเหตุชุลมุนช่วงสุดสัปดาห์ ตำรวจฉีดน้ำ ยิงแก๊สน้ำตา กระสุนยาง สกัดผู้ชุมนุม ที่จุดไฟเผาปาระเบิดขวดทั่วเมือง ตำรวจฮ่องกงออกแถลงการณ์ประณาม ชี้เป็นการกระทำที่อันตรายต่อประชาชน

สถานการณ์ในฮ่องกงยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง แม้รถไฟใต้ดินและถนนหลายสายจะเปิดใช้ตามปกติ วานนี้ (30 ก.ย.) หลังจากเกิดเหตุชุลมุนเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ โดยตำรวจระดมฉีดน้ำ ยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางเข้าใส่ผู้ประท้วงที่จุดไฟเผาและปาระเบิดขวดทั่วเมือง

ทั้งนี้ ในช่วงเช้าวันที่ 30 ก.ย. ชาวฮ่องกงตื่นมาพบกับสภาพที่ถนนหนทาง ร้านค้า อาคาร ถูกพ่นข้อความเปรอะเปื้อนไปหมด หน้าต่างอาคารราชการแตก กระเบื้องปูทางเท้าถูกถอดออก แต่สถานีรถไฟใต้ดินทุกแห่งและร้านค้าในเมืองยังเปิดให้บริการตามปกติ ถึงกระนั้นสถานการณ์ในฮ่องกงยังคงต้องจับตา เนื่องจากวันที่ 1 ต.ค. เป็นวันครบรอบ 70 ปีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ทางการไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งาม หักหน้ารัฐบาลปักกิ่ง เนื่องจากนักเคลื่อนไหวได้วางแผนชุมนุมใหญ่

ด้านนางแคร์รี หล่ำ ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้เดินทางไปยังกรุงปักกิ่งในวันจันทร์ที่ 30 ก.ย. เพื่อเฉลิมฉลองวาระสำคัญ ทั้ง ๆ ที่เธอเชิญบริษัทห้างร้าน มาร่วมพิธีเชิญธงและงานเลี้ยงฉลองวันชาติ ที่ศูนย์ประชุมและนิทรรศการในย่านหว่านไจ๋ ในวันอังคาร ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่า เหตุใดนางหล่ำจึงเปลี่ยนใจ ขณะที่รัฐบาลฮ่องกงแถลงว่า นายแมทธิว เจิ้ง คิน ชุง ประธานเลขานุการคณะผู้บริหาร จะร่วมพิธีที่ฮ่องกงแทนนางหล่ำ

ส่วนความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมประท้วงได้วางแผนประท้วงทั่วฮ่องกง ทั้งวันที่ 30 ก.ย. และ 1 ต.ค.

ทั้งนี้ เหตุประท้วงในฮ่องกง ดำเนินมาเป็นสัปดาห์ที่ 17 ติดต่อกัน โดยจุดเริ่มต้นมาจากการประท้วงร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งประชาชนฮ่องกงมองว่าเป็นการถูกจีนแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกง

ขณะเดียวกัน รัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกง และตำรวจฮ่องกง ออกแถลงการณ์ประณามการก่อเหตุประท้วงรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมระบุว่า เป็นการกระทำที่เป็นอันตรายต่อประชาชน

สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า การชุมนุมที่ผิดกฎหมายในฮ่องกง ทวีความรุนแรงอีกครั้ง เมื่อคืนวันอาทิตย์ (29 ก.ย.) ที่ผ่านมา หลังจากกลุ่มผู้ประท้วงหัวรุนแรง บุกทำลายทรัพย์สินในสถานีรถไฟใต้ดิน จุดไฟเผาและขว้างปาระเบิดขวด

“กลุ่มผู้ประท้วงรวมตัวกันเพื่อปิดกั้นถนนในแหล่งชอปปิง เช่น คอสเวย์เบย์ หว่านไจ๋ และแอดมิรัลตี้ ส่งผลให้การจราจรในหลายเขตต้องหยุดชะงัก และส่งผลกระทบต่อประชาชน” โฆษกรัฐบาลฮ่องกง กล่าวในแถลงการณ์

“พวกเขาจุดไฟเผาในสถานที่ต่าง ๆ ขว้างปาระเบิดบนถนน และในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (เอ็มทีอาร์) หลายแห่ง รวมถึงสถานีตำรวจย่านมงก๊ก ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อตำรวจ เจ้าหน้าที่เอ็มทีอาร์ และประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ ทางรัฐบาลจึงขอประณามกลุ่มผู้ประท้วงหัวรุนแรงซึ่งไม่เคารพต่อกฎหมายและระเบียบใด ๆ จนสร้างความเสียหายต่อสังคมอย่างรุนแรง” โฆษกรัฐบาลฮ่องกงกล่าว พร้อมระบุว่า “ตำรวจจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชน และฟื้นฟูความสงบสุขในฮ่องกง”

ทางด้านตำรวจฮ่องกง ออกแถลงการณ์เช่นกัน โดยระบุว่า การชุมนุมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผิดกฎหมาย และก่อให้เกิดความเสียหาย โดยผู้ประท้วงได้แหวกวงล้อมของตำรวจ จุดไฟบริเวณทางเข้าและทางออกของสถานีรถไฟใต้ดินเอ็มทีอาร์ ทำลายป้าย ขว้างปาสิ่งของใส่ยานพาหนะของตำรวจ และอาคารของรัฐบาล ขว้างปาระเบิดเข้าใส่ตำรวจและสถานีตำรวจ รวมถึงทำร้ายร่างกายประชาชนที่มีความเห็นต่างจนได้รับบาดเจ็บ"

มีรายงานว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ราคาบ้านเดี่ยวในฮ่องกงเดือน ส.ค.ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยได้รับผลกระทบจากการประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

ราคาบ้านเดี่ยวในฮ่องกงปรับตัวลดลง 1.37% ในเดือน ส.ค.ซึ่งเป็นการร่วงลงรุนแรงกว่าในเดือน ก.ค.ที่ขยับลงเพียง 0.10% และในเดือน มิ.ย.ที่ปรับตัวลดลง 0.3% นอกจากนี้ ราคาบ้านเดือน ส.ค.ยังปรับตัวลดลงมากสุด นับแต่เดือน ธ.ค.2561

ทั้งนี้ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562 ราคาบ้านเดี่ยวในฮ่องกง ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.5% ขณะที่นักวิเคราะห์และนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ คาดการณ์ว่าราคาบ้านจะเพิ่มขึ้นเพียง 5% หรืออาจจะลดลง 5% สำหรับทั้งปี

นายดีเรก ชาน หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัทริคาคอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ระบุว่า การร่วงลงของราคาบ้านเดี่ยวในฮ่องกงเป็นไปตามคาดการณ์ และคาดว่าราคาบ้านในเดือน ก.ย.จะปรับตัวลดลงมากกว่าในเดือน ส.ค. โดยอาจร่วงลงมากถึง 2%

ขณะที่นายโธมัส แลม ผอ.บริหารของบริษัทไนท์ แฟรงค์ ระบุว่า ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน รวมถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมในฮ่องกง