ตร.เล็งเข้มกฎหมาย ห้ามนั่งท้ายกระบะ

ตร.เล็งเข้มกฎหมาย ห้ามนั่งท้ายกระบะ

ตร.เตรียมเข้มงวดกฎหมาย ห้ามนั่งท้ายกระบะทุกคัน คุมรถโดยสารรถสาธารณะทุกประเภท หลังเกิดกรณีอุบัติเทกระจาดสังเวย 13 ชีวิต นศ.เทคนิคศรีสะเกษ ด้าน“ประวิตร” ถามกลับจะให้ทำอย่างไร เมื่อขออนุโลมเอง ด้านนักวิชาการ แนะรัฐมองรอบด้านก่อนออกมาตรการบังคับ

จากเหตุโศกนาฎกรรม กรณีอุบัติเหตุรถกระบะพลิกคว่ำ หลังกลับจากกินเลี้ยงฉลอง นักศึกษาจบฝึกงานและดูคอนเสิร์ตหมอลำ ของกลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ ที่บริเวณปากทางเข้า ซ.กิ่งแก้ว 21 ในพื้นที่ ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อเวลาประมาณ 03.00 น.ของวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 13 ศพ ที่ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ

ล่าสุด วานนี้(30 ก.ย.)  พ.ต.ท.สำราญ ช่วยท้าว พนักงานสอบสวน สภ.บางแก้ว จ.สมุทรปราการ เปิดเผยว่า ตอนนี้สอบปากคำญาติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต รวมถึงคนเจ็บที่ยังพอให้การได้เพื่อประกอบสำนวน เบื้องต้นเตรียมแจ้งข้อหากับนายนิตยา สุขจันทร์ คนขับรถคันที่เกิดเหตุ ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่คนขับรถยังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จึงยังไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้

นอกจากนี้ ตำรวจได้ประสานกับทางโรงพยาบาลในการตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด หากพบปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่ากฎหมายกำหนด ก็จะแจ้งข้อหาเมาแล้วขับด้วย ส่วนรถคันเกิดเหตุทราบว่า พ.ร.บ.ประกันภายจากรถ ขาดตั้งแต่เดือนส.ค.ที่ผ่านมา และยังไม่มีการต่ออายุการคุ้มครอง

ขณะที่นายประชาคม จันทรชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประชุมเพื่อหาแนวทางให้ความช่วยเหลือ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ คปภ.จังหวัดศรีสะเกษ ตรวจสอบรถกระบะคันที่เกิดเหตุ พบว่า ประกันบุคคลที่ 3 ตาม พ.ร.บ.ประกันภัยจากรถ ยังไม่ได้ดำเนินการต่อประกัน ทำให้มีผลต่อการเรียกค่าสินไหมทดแทน ที่ประชุมจึงมีมติให้มีการเปิดบัญชีธนาคารกรุงไทย ในชื่อบัญชี“เพื่อนักศึกษาผู้ประสบอุบัติเหตุ วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ” เลขบัญชี 678-6-17357-8 รับบริจาคเงินเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ปกครองของนักศึกษาแทนเป็นเบื้องต้น

ขณะที่ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(รอง โฆษก ตร.) กล่าวว่า  พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มีนโยบายให้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์และการจราจรอย่างเข้มงวด หลังเกิดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เนื่องจากกรณีที่ดังกล่าวเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.รถยนต์ เพราะเป็นการใช้รถผิดประเภทนำรถกระบะมาบรรทุกประชาชน และ เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.การจราจรทางบก เนื่องจากใช้ความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด

นอกจากนี้ คนขับรถและคู่กรณีอาจมีความผิดอาญา ฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บสาหัส รวมทั้งทำให้เสียทรัพย์ด้วย อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเร่งสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนและผู้ขับขี่ ให้ตระหนักถึงความปลอดภัย ไม่ทำผิดกฎหมาย ทั้ง 2 ฉบับ จากนั้นจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เริ่มจากการจับเตือน และหากพบการฝ่าฝืนอีกก็จะจับดำเนินคดีทันที

“ผบ.ตร. ยังสั่งให้เข้มงวดกับรถโดยสารสาธารณะโดยเฉพาะรถตู้ เนื่องจากบางครั้งคนขับต้องการทำรอบจึงเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรง”

ขณะที่นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดเป็นนักศึกษาที่ถือเป็นอนาคตของชาติ โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือดูแลครอบครัวตามระเบียบที่ปฏิบัติได้

ประวิตรชี้รัฐห้ามแล้วแต่ไม่ฟัง

ด้านพล.อ.ประวิตรวงศ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงมาตราการควบคุมการนั่งท้ายกระบะ หลังเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวว่า จะให้ทำอย่างไร เมื่อประชาชนเป็นคนขอร้องว่า ให้ช่วยอนุโลม ส่วนมาตรการในการดูแล เราก็ต้องทำให้เกิดความปลอดภัย ซึ่งการห้ามนั่งท้ายกระบะนั้นก็มีกฎหมายห้ามอยู่แล้ว เพราะว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุทุกครั้งก็จะเกิดความสูญเสีย ซึ่งจากนี้จะมีการพิจารณาในเรื่องมาตรการดูแลความปลอดภัย หากคนไม่โดนเองก็ต่อต้านอยู่นั่นละ

ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อปี 2560 รัฐบาลออกมาตรการความปลอดภัยเพื่อลดอุบัติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะการห้ามนั่งท้ายรถกระบะ แต่กลับมีเสียงคัดค้านจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ที่ส่วนใหญ่ยังสะดวกกับการเดินทางด้วยรถกระบะ มาตรการจึงมีการอนุโลม ในทุกปีเทศกาลที่รัฐบาลเตรียมใช้มาตรการดังกล่าว

นักวิชาการ ชี้รัฐมองให้รอบด้าน

ขณะที่ความเห๋็นจากฝ่ายนักวิชาการ นายพิชัย ธานีรณานนท์ ประธานคณะอนุกรรมการสาขาการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและการเสียชีวิต วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวถึงมาตรการห้ามนั่งท้ายรถกระบะว่า หากจะทำต้องทำอย่างเป็นระบบ รอบด้าน แต่ที่ผ่านมา เน้นเพียงการผลักภาระไปให้ประชาชนที่มีความจำเป็นต้องใช้รถกระบะในการเดินทาง ทำให้กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง และเกิดการต่อต้านขึ้น 

 ที่สำคัญ คือ กฎหมายไม่เคยเอาภาระไปฝากไว้กับผู้ผลิตรถยนต์ การห้ามนั่งท้ายกระบะ ต้องมาพร้อมกับการให้เวลาผู้ผลิตรถยนต์ 1 ปี ในการเอาแค็บหรือเข็มขัดนิรภัยมาใส่ ถ้าจะผลิตรถกระบะออกมาขาย คุณต้องทำให้ดีกว่านี้  มันต้องแก้เป็นระบบ คุณก็รู้อยู่ชาวบ้านต้องเอามาบรรทุกของ บรรทุกคน 

แนะรัฐหนุนเอกชนผลิตรถปลอดภัย 

"ยกตัวอย่าง ประเทศออสเตรเลีย ที่เคยมีปัญหาแบบนี้ แต่รถกระบะของเขาจะใหญ่กว่าของเรา นั่งกัน 10-20 คน แต่พอเกิดพลิกคว่ำเทกระจาด รัฐบาลจึงให้ใส่คอก ไม่ให้กระเด็นออกมา" นายพิชัย กล่าว

ทั้งนี้ รัฐต้องเข้ามาดูด้วยว่าจะช่วยลดภาระของผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนในการเปลี่ยนไปเลือกใช้รถที่ปลอดภัยอย่างไร เช่น มาตรการลดภาษี จะลดได้เท่าไรเพื่อไม่ให้รถยนต์ชนิดที่ปลอดภัยขึ้นมีราคาถูกลง เพราะความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่มีสิ่งใดที่จะมีราคาสูงกว่านี้อีกแล้ว โดยเฉพาะหลายครั้งความสูญเสียเกิดขึ้นกับประชากรวัยแรงงานที่เป็นกำลังสำคัญในการสร้างชาติ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย

ศูนย์ถ่วงกระบะความเสี่ยงพลิกคว่ำ

นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปภ.) กล่าวว่า พื้นฐานทั่วไปของรถกระบะ ถือมีความเสี่ยงต่อการพลิกคว่ำได้ง่ายกว่ารถประเภทอื่น เนื่องจากจุดศูนย์ถ่วงของรถกระบะอยู่ที่ประมาณ 60 เซ็นติเมตร(ซม.) หากมีการบรรทุกคนนั่งท้าย 10 คน จะทำให้ศูนย์ถ่วงเพิ่มเป็น 70 ซม.หากยืนร่วมด้วย ศูนย์ถ่วงจะเพิ่มเป็น 80 ซม. ความเสี่ยงที่จะพลิกคว่ำเพิ่มเป็น 4 เท่า และหากขับมาด้วยความเร็ว จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงและจนนำมาสู่การสูญเสียมากขึ้น