'ภาษีความหวาน' แผลงฤทธิ์ พบคนไทยกินหวานลด 4 ช้อนชาต่อคน

'ภาษีความหวาน' แผลงฤทธิ์ พบคนไทยกินหวานลด 4 ช้อนชาต่อคน

ดีเดย์เก็บภาษีความหวานระยะ 2 เริ่ม 1 ตุลาคมนี้ แบบเก็บเต็มพิกัดตามขั้นบันไดและขยับขึ้นอีกทุก 2 ปี เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานให้จับตาผู้ผลิตว่าจะให้แท็กติกการตลาดแบบไหนมาดึงลูกค้า เผยหลังบังคับใช้ 2 ปีแรก คนไทยบริโภคน้ำตาลดลง

     ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย ในฐานะประธานเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน เปิดเผยว่า การปรับภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงรอบใหม่นี้ ขอให้สังคมจับตามองภาคอุตสาหกรรมหรือกลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่มว่าจะใช้แท็คติกทางการตลาดและช่องทางทางกฎหมายอย่างไร เพื่อคงยอดขายไว้ ขณะเดียวกันก็หวังว่าผู้บริโภคจะศึกษาข้อมูล และมองหาเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพให้มากขึ้น
ทพญ.ปิยะดา กล่าวด้วยว่า ผลดีของการปรับขึ้นภาษีความหวานที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 พบว่าในปัจจุบันคนไทยบริโภคน้ำตาลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมคนไทยบริโภคน้ำตาลโดยรวมทั้งหมดประมาณ 100 กรัมต่อคนต่อวัน แต่การบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มคิดเป็นครึ่งหนึ่งของการบริโภคน้ำตาลต่อวัน ดังนั้นคนไทยบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มจึงอยู่ที่ 50 กรัมต่อคนต่อวัน คิดเป็น 12 ช้อนชาต่อคนต่อวัน
        แต่หลังจากได้มีการปรับขึ้นภาษีความหวาน ตั้งแต่ปี 60 พบว่าคนไทยบริโภคน้ำตาลจากเครื่องดื่มลดลงเหลือ 8 ช้อนชาต่อคนต่อวัน จึงเป็นเรื่องน่ายินดี แม้จะเป็นช่วงเริ่มต้นปรับภาษีน้ำตาลในระยะแรก แต่ผลที่ตามมาเห็นได้อย่างชัดเจนเช่นนี้นับเป็นเรื่องดีที่ควรดำเนินการต่อเนื่องต่อไป โดยในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ที่จะถึงนี้จะมีการเก็บภาษีความหวานในอัตราแบบขึ้นบันได และจะปรับในทุก 2 ปี
        “โดยส่วนตัวมองว่า การปรับอัตราภาษีความหวานขึ้น อาจเป็นการปกป้องประชาชนก็ได้ เพราะเป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มลง ผลที่ตามมาคือประชาชนได้รับความหวานจากเครื่องดื่มลดลง ทำให้โรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดจาก NCDs ซึ่งโรคนี้มีสาเหตุหนึ่งมาจากการบริโภคน้ำตาลเกินกว่าร่างกายต้องการ ดังนั้นจากการปรับภาษีน้ำตาล ในขณะนี้อาจทำให้ประชาชนเสี่ยงกับโรคนี้ลดน้อยลงด้วย” ทพญ.ปิยะดา กล่าว
        อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผู้ประกอบการไม่ยอมลดปริมาณน้ำตาลลง ก็ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นตามขั้นบันได เมื่อเสียภาษีเพิ่มขึ้นอาจต้องขยับราคาขายเพิ่มขึ้นด้วย ผลที่ตามมาคือประชาชนต้องซื้อเครื่องดื่มที่เคยดื่มในราคาสูงขึ้น กรณีนี้อาจมีผลกับประชาชนบางกลุ่ม ทำให้เลิกทาน หรือเลิกซื้อผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ไปเลย เนื่องจากไม่สามารถจ่ายเงินกับราคาที่เพิ่มขึ้นได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ประธานเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน มองว่าเป็นประโยชน์มากเป็นอันดับแรก คือ สุขภาพของประชาชน ถ้าลดอัตราการบริโภคน้ำตาลก็ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคภัยต่าง ๆ และนี่เป็นประเด็นหลักที่ทำให้เกิดการผลักดันนโยบายการขึ้นภาษีน้ำตาลขึ้นมาตั้งแต่ปี 60 และโดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยหากจะมีการเลี่ยงความหวานจากน้ำตาล มาใช้สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล เพราะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาการลดความหวานออกจากร่างกายด้วย
         รายงานข้อมูลการกำหนดภาษีความหวาน ที่ กรมสรรพสามิต บังคับใช้เมื่อวันที่ 16 ก.ย.2560 ถึง 30 ก.ย. 2562 ได้แก่ 1.เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เว้นการเก็บภาษี 2. ที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 6 กรัม แต่ไม่เกิน 8 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 0.10 บาทต่อลิตร 3. ที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 8 กรัมแต่ไม่เกิน 10 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 0.30 บาทต่อลิตร 4. ที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 10 กรัม แต่ไม่เกิน 14 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 0.50 บาทต่อลิตร และ 5. ที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 14 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 1 บาทต่อลิตร
ส่วนที่บังคับใช้ หลังจากวันที่ 1 ต.ค.2562 ถึง 30 ก.ย.2564 ได้แก่ เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 14 กรัม แต่ไม่เกิน 18 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 3 บาทต่อลิตร และ ที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 18 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 5 บาทต่อลิตร
สำหรับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2564 จนถึงวันที่ 30 ก.ย.2566 เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 8 กรัม แต่ไม่เกิน 10 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 1 บาทต่อลิตร เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 10 กรัมแต่ไม่เกิน 14 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 3 บาทต่อลิตร และ ที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 14 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 5 บาทต่อลิตร
        ขณะที่ตั้งแต่ 1 ต.ค.2566 เป็นต้นไป เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 6 กรัม แต่ไม่เกิน 8 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 1 บาทต่อลิตร เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 8 กรัม แต่ไม่เกิน 10 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร เสียภาษี 3 บาทต่อลิตร และเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกิน 10 กรัมต่อลิตร เสียภาษี 5 บาทต่อลิตร