ซาอุฯ เปิดประเทศให้วีซ่าท่องเที่ยว

ซาอุฯ เปิดประเทศให้วีซ่าท่องเที่ยว

ซาอุดีอาระเบีย ราชอาณาจักรที่ได้ชื่อว่าอนุรักษนิยมสุดๆ ทำเรื่องเซอร์ไพรส์ เตรียมให้วีซ่าท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก ส่วนหนึ่งของแผนการสร้างความหลากหลายให้กับเศรษฐกิจ ไม่ต้องพึ่งพารายได้จากน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงประกาศโครงการปฏิรูปที่ชื่อว่า “วิสัยทัศน์ 2030” สำหรับเตรียมการซาอุฯ ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในโลกอาหรับ เข้าสู่ยุคหลังน้ำมัน โดยมีการท่องเที่ยวเป็นจุดออกตัวสำคัญอันหนึ่งของโครงการ

วานนี้ (27 ก.ย.) รัฐบาลซาอุฯ ประกาศเตรียมให้วีซ่าท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก อาเหม็ด อัล คาทีป ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวเผยว่า ตั้งแต่วันนี้ (28 ก.ย.) เป็นต้นไปซาอุฯเปิดให้พลเมือง 49 ประเทศยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวผ่านทางออนไลน์ได้

“การเปิดประเทศซาอุดีอาระเบียให้นักท่องเที่ยวนานาชาติได้เข้ามาสัมผัส ถือเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์สำหรับประเทศของเรา ผู้มาเยือนจะตะลึงตะลานกับมหาสมบัติที่เราเปิดให้ชม ทั้งแหล่งมรดกโลกยูเนสโก 5 แห่ง วัฒนธรรมท้องถิ่นชวนตื่นตา และความงามตามธรรมชาติสวยจนแทบลืมหายใจ” แถลงการณ์จากคาทีประบุ

ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวกล่าวด้วยว่า ซาอุฯ ยังผ่อนคลายระเบียบการต่างกายสำหรับหญิงต่างชาติ พวกเธอสามารถไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องสวมชุดคลุมทั้งตัว เหมือนอย่างที่หญิงซาอุฯ ต้องสวมอย่างไรก็ตาม คาทีปย้ำโดยไม่เผยรายละเอียดว่า หญิงต่างชาติยังจำเป็นต้องแต่งกายอย่างเหมาะสม

ปัจจุบันราชอาณาจักรกลางทะเลทราย อันอุดมไปด้วยมรดกของชาวเบดูอินและแหล่งโบราณคดี ออกวีซ่าให้กับแรงงานต่างชาติ ผู้ติดตาม และนักแสวงบุญชาวมุสลิมที่เดินทางมานครเมกกะและเมดินะเท่านั้น

การให้วีซ่าท่องเที่ยวจึงเป็นเรื่องสุดพิเศษที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2561 ด้วยการออกวีซ่าชั่วคราวให้กับผู้มาร่วมงานแข่งขันกีฬาและวัฒนธรรม เพื่อเริ่มต้นส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่หลายคนมองว่า ซาอุฯที่เข้มงวด ห้ามดื่มแอลกอฮอลล์ แถมยังมีระเบียบปฏิบัติมากมายกำลังฮาร์ดเซลล์กับนักท่องเที่ยว

เจ้าชายโมฮัมเหม็ดพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยการเปิดเสรี ทั้งเปิดโรงภาพยนตร์ใหม่ อนุญาตให้หญิงชายดูคอนเสิร์ตร่วมกัน และดึงรายการกีฬาดังๆ มาแข่งในซาอุฯ

ขณะที่ผู้สังเกตการณ์มองว่า การที่ซาอุฯ ถูกนานาชาติวิจารณ์เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการฆาตกรรมนักข่าวฝีปากกล้า “จามาล คาช็อกกี” เมื่อปีก่อน และการปราบปรามนักเคลื่อนไหวหญิง อาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่อยากมาที่นี่

คำประกาศให้วีซ่าท่องเที่ยวเกิดขึ้น 2 สัปดาห์หลังจากโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทซาอุดี อารัมโก ถูกโจมตี เมื่อวันที่ 14 ก.ย. สหรัฐกล่าวโทษว่าเป็นฝีมืออิหร่าน สั่นคลอนตลาดพลังงานโลก และหวั่นเกรงกันมากว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะขยายวง เรื่องนี้อาจบั่นทอนความหวังอยากดึงดูดนักท่องเที่ยวของซาอุฯ ได้เช่นกัน

ด้านรัฐบาลริยาดซึ่งเพิ่งตั้งตัวได้จากราคาน้ำมันตกต่ำ กล่าวว่า อยากให้การท่องเที่ยวสร้างรายได้มากถึง 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ภายในปี 2573 จากปัจจุบันที่มีแค่ 3% ซึ่งในปีเป้าหมายซาอุฯ ต้องมีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศถึง 100 ล้านครั้ง

สิ่งที่พึงตระหนักข้อหนึ่งคือขณะนี้ซาอุฯ ยังไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวจำนวนมากขนาดนั้น ทางการประเมินว่า จำเป็นต้องสร้างโรงแรมใหม่ 5 แสนห้องทั่วประเทศภายในทศวรรษหน้า

ขณะที่รัฐบาลหวังว่า การท่องเที่ยวจะจ้างงานได้ถึง 1 ล้านอัตรา ช่วยแก้ปัญหาเยาวชนว่างงานสูง ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงทุ่มงบประมาณหลายพันล้านสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเสียแต่เนิ่นๆ

ปี 2560 ซาอุฯ ประกาศโครงการหลายพันล้านดอลลาร์ พลิกโฉมหมู่เกาะ 50 แห่ง และแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอื่นๆ ริมฝั่งทะเลแดงให้กลายเป็นรีสอร์ทหรู

ปี 2561 ประกาศสร้างเมืองบันเทิง “กิดดียา” ใกล้กรุงริยาด มีทั้งสวนสนุกระดับไฮเอนด์ สนามแข่งจักรยานยนต์ และพื้นที่ซาฟารี

ไม่ใช่แค่สิ่งทันสมัย ซาอุฯ ยังพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ เช่นสุสานโบราณในหุบเขาหินสีชมพู “มาเดน ซาเละห์”ที่เก่าแก่พอๆ กับเมืองเพตราของจอร์แดน

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การปฏิรูปเศรษฐกิจประเทศให้หลากหลาย ซาอุฯ ไม่ได้ทำเล่นๆ