“สิงห์เอสเตท” ดัน “SHR” ขยายพอร์ตโรงแรม 80 แห่งทั่วโลก โตดับเบิลในปี 2568 สบช่องบาทแข็ง เร่งสปีดแผนซื้อกิจการโรงแรมทั่วเอเชียแปซิฟิก-ยุโรป
เมื่อดูเฉพาะกลุ่มโรงแรมซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทลูกอย่าง เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) และมีแผนจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เดือน พ.ย.นี้ คาดว่าปีนี้จะเห็นรายได้แบบเต็มปีจากการเข้าซื้อโรงแรมเอาท์ริกเกอร์ 6 โรงแรมใน 4 ประเทศ เมื่อเดือน มิ.ย. 2561 และการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสานหรือมิกซ์ยูสระดับเมกะโปรเจคชื่อ “ครอสโรดส์” ที่มัลดีฟส์ ถือเป็นโครงการลงทุนต่างประเทศใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อกลางเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มี 2 โรงแรมให้บริการซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี
“และในช่วงเงินบาทแข็งค่า มองว่าเป็นจังหวะดีที่ต้องเร่งสปีดในการเก็บเกี่ยวดีลซื้อกิจการโรงแรมในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยมองการเข้าซื้อกิจการแบบทั้งกรุ๊ป เพราะทำให้ธุรกิจโตเร็ว เน้นโรงแรมระดับ 3.5-4 ดาว ทั้งในเอเชียแปซิฟิกและยุโรป”
ขณะที่ภายในปี 2568 SHR ตั้งเป้าขยายจำนวนโรงแรมและห้องพักเติบโต 2 เท่า จากปัจจุบันมี 39 โรงแรม เป็น 80 โรงแรมทั้งในไทยและต่างประเทศ ผ่าน 4 รูปแบบ ได้แก่ 1.โรงแรมที่เป็นเจ้าของและบริหารเอง 2.โรงแรมที่บริหารผ่าน Franchise Agreement กับแบรนด์ระดับโลก 3.โรงแรมที่บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม และ 4.โรงแรมที่บริหารผ่านแบรนด์ที่ SHR สร้างขึ้นมาเอง ขณะนี้มีแล้ว 1 แบรนด์ คือ SAii เปิดที่มัลดีฟ์เป็นแห่งแรก และอีก 1 แบรนด์อยู่ระหว่างการพัฒนา
“คาดว่าในปี 2568 จะทำให้ SHR มีรายได้เติบโต 3 เท่าจากปัจจุบัน และทำให้สัดส่วนรายได้จากกลุ่มโรงแรมมีมากกว่า 50% ของรายได้สิงห์เอสเตททั้งหมด”
นายเดิร์ก เดอ ไคย์เปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SHR กล่าวเสริมว่า จากการรุกขยายธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ คาดว่าในปี 2568 สัดส่วนจะเพิ่มเป็น 70-75% จากปัจจุบันอยู่ที่ 60% ขณะที่โรงแรมในไทยสัดส่วนจะลดลงมาอยู่ที่ 25-30% ทั้งนี้มองว่าปี 2562 กลุ่มธุรกิจโรงแรมจะมีรายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท
นายนริศ ซีอีโอ สิงห์ เอสเตท กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก บริษัทฯมีแผนพัฒนาโครงการมิกส์ยูสใหม่ ภายใต้ชื่อ “เอส โอเอสซิส” บนถนนวิภาวดี-รังสิต มูลค่า 3,695 ล้านบาท ความสูง 36 ชั้น มีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่สำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกบางส่วน ซึ่งจะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปี โดยได้เริ่มการก่อสร้างในปีนี้
สำหรับแผนงานระยะยาว บริษัทฯคาดการณ์งบลงทุนในการขยายธุรกิจคอมเมอร์เชียลไว้ประมาณ 15,000 ล้านบาทสำหรับ 4 ปี (ระหว่างปี 2562-2566) ส่วนกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย บริษัทฯมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) ของคอนโดมิเนียมมูลค่า 4,400 ล้านบาท จากโครงการ The ESSE Asoke และ The ESSE at SINGHA COMPLEX