‘แจส’จ่อบุ๊กกำไรหมื่นล้าน หลังถือหุ้นไฟเขียวขายสินทรัพย์เข้ากองJASIF

‘แจส’จ่อบุ๊กกำไรหมื่นล้าน หลังถือหุ้นไฟเขียวขายสินทรัพย์เข้ากองJASIF

“จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล” เตรียมบุ๊คกำไรพิเศษ “หมื่นล้าน” หลังผู้ถือหุ้นไฟเขียวขายทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่มเข้ากอง JASIF มูลค่ากว่า 3.8 หมื่นล้าน เล็งนำเงินไปชำระหนี้-จ่ายปันผลพิเศษ ตั้งเป้ารายได้ 5 ปีข้างหน้า แตะ 3 หมื่นล้าน

นางสาวสายใจ คีตสิน รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS กล่าวภายในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2562 ว่า การขายทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่มให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) ในครั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากขายทรัพย์สินดังกล่าวประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากนับรวมกับค่าใช้จ่ายในการจองซื้อหน่วยลงทุนที่จะออกใหม่คาดว่าจะส่งผลให้กำไรลดลงเหลือประมาณ 7,000-8,500 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัทจะเข้าจองซื้อหน่วยลงทุนที่จะออกใหม่ของกองทุน JASIF ตามสัดส่วนการถือหน่วยลงทุนของบริษัทในกองทุนฯ ซึ่งเบื้องต้นบริษัทอาจจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่เกินกว่าสิทธิที่ได้รับจัดสรร แต่จะจองซื้อหน่วยลงทุนได้จำนวนไม่เกิน 33% ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดของกองทุนฯภายหลังการเพิ่มทุน ซึ่งยังต้องรอดูการจองซื้อหน่วยลงทุนของรายย่อยก่อน

นางสาวสายใจ ยอมรับว่า การขายทรัพย์สินเข้ากองทุนฯอาจกระทบต่อการจ่ายเงินปันผลในช่วงแรก เพราะการเช่าทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่มจากกองทุนฯและการขยายอายุสัญญาเช่าหลักสำหรับสัญญาเช่าทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงหลักเดิมจะส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีภาระค่าเช่าราว 1 หมื่นล้านบาทต่อปี 

อย่างไรก็ตามด้วยผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของกลุ่มบริษัทอยู่ในเกณฑ์ที่ดีอย่างสม่ำเสมอจึงเชื่อว่าจะสามารถชำระค่าเช่าตามสัญญาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ตลอดอายุสัญญาเช่า โดยไม่ส่งผลกระทบทางลบต่อฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท

“ส่วนกรณีที่นายพิชญ์ โพธารามิก อดีตประธานกรรมการและกรรมการของบริษัทได้ขอลาออกจากตำแหน่งภายหลังจากที่ก.ล.ต.ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง ยืนยันว่าจะไม่กระทบกับการดำเนินงานและการขายทรัพย์สินเข้ากองทุนฯในครั้งนี้ เนื่องจากการดำเนินการยังเป็นไปตามแผนที่กำหนดและบริษัทก็ยังมีทีมผู้บริการที่แข็งแกร่งที่มีประสบการณ์การทำงานมายาวนาน จึงทำให้การลาออกจากตำแหน่งในครั้งนี้ทีมผู้บริหารปัจจุบันยังสามารถปฎิบัติงานต่อได้”

นางสาวสายใจ กล่าวต่อว่า ขณะที่รายได้จากการขายทรัพย์สินเข้ากองทุน JASIF มูลค่ากว่า 3.8 หมื่นล้านบาทในครั้งนี้ บริษัทเตรียมนำเงินที่ได้ไปชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นที่นำมาใช้จองซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนฯ,ชำระค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว และชำระคืนหนี้ของกลุ่มบริษัท ซึ่งปัจจุบันมีมูลหนี้เงินกู้จากสถาบันทางการเงินราว 2 หมื่นล้านบาท รวมถึงจะพิจารณาการจ่ายปันผลพิเศษให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทโดยใช้เงินทุนจากกำไรสะสมของบริษัทที่มีอยู่ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะพิจารณาได้หลังปิดงบการเงินก่อน

นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าในช่วง 5 ปีข้างหน้า หรือปี 2567 รายได้จะเติบโตแตะ 3 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนการขยายฐานลูกค้าของบริษัทที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านราย จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 3.3 ล้านราย

นายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย ประเมินว่า JAS น่าจะดำเนินการขายทรัพย์สินเข้ากองทุน JASIF ต่อไปได้หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้อนุมัติเห็นชอบแล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีการบันทึกกำไรเข้ามา 7-8 พันล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับกระแสเงินสดและส่วนของเงินทุนแล้ว จึงคาดว่า JAS จะจ่ายปันผลพิเศษในงวดดังกล่าวราว 1.72 บาทต่อหุ้น