“อมตะ” ชี้ รัฐขาดแผนชัดเจนจัดหา-พยากรณ์การใช้น้ำ แนะทุกนิคมฯ ติดระบบบำบัดน้ำเสียมาใช้ใหม่ 100% นักวิชาการคาดปี 2580 ภาคตะวันออกต้องการน้ำ 5.7 พันล้าน ลบ.ม.
นายชูชาติ สายถิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะ วอเตอร์ จำกัด เปิดเผยระหว่างการเสวนาเรื่อง “ความต้องการใช้น้ำ EEC...มุมมองการบริหารจัดการน้ำของนักวิชาการและแนวทางการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม ว่า การประกอบธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มอมตะทั้งในไทยและเวียดนาม นักลงทุนที่มาติดต่อจะถามเรื่องน้ำและไฟฟ้าเพียงพอหรือไม่จึงสำคัญกว่าราคาที่ดิน
ดังนั้นการบริหารจัดการน้ำในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จึงสำคัญมากในการสร้างความมั่นใจให้ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในอีอีซี แต่อีอีซียังไม่มีความชัดเจนทั้งในตัวเลขความต้องการน้ำในอนาคต และมาตรการจัดหาแหล่งน้ำให้เพียงพอ เพราะสถิติน้ำฝนในภาคตะวันออกที่ผ่านมาทุก 4-5 ปี จะมีปีที่แล้งหนักติดต่อกัน 2 ปี เกิดขึ้น 1 ครั้ง
แม้ว่าความต้องการในปัจจุบันที่มี 4.1 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ในปีที่มีภัยแล้วก็ยังไม่เพียงพอ โดยเมื่อเกิดอีอีซีคาดว่าปี 2580 จะต้องการใช้น้ำ 5.7 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี จะหาน้ำอีก 1.6 พันล้านลูกบาศก์เมตรมาจากไหน ซึ่งจะเป็นปัญหาสำคัญที่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุน
ส่วนแนวทางแก้ไขควรจะนำโมเดลที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะใช้บริหารจัดการน้ำ คือ การจัดหาบ่อกักเก็บน้ำสำรอง และการลงทุนพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียนำกลับมาใช้ใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้นิคมอุตสาหกรรมอมตะก้าวข้ามวิฤตปัญหาภัยแล้งแล้ว ซึ่งไม่ว่าฝนขาดช่วงนานเท่าไหร่ก็อยู่ได้
โดยน้ำดีที่โรงงานนำเข้าไปใช้จะปล่อยออกมาเป็นน้ำทิ้ง 40-50% ของปริมาณน้ำดีที่เข้าไป ดังนั้นนิคมอุตสาหกรรมอมตะจึงนำน้ำอีก 40% นี้กลับมาใช้ได้ตลอด หรือเท่ากับลดการใช้น้ำจืด 40%
“ภาครัฐควรผลักดันให้นิคมอุตสาหกรรมในอีอีซีลงทุนทำระบบบำบัดน้ำเสียให้นำกลับไปใช้ใหม่ให้ได้ 100% ทุกนิคมอุตสาหกรรมจะช่วยแก้ปัญหาน้ำภาคอุตสาหกรรมในอีอีซี มีความปลอดภัยเกือบ 100% เพราะโรงงานส่วนใหญ่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ส่วนโรงงานนอกเขตนิคมอุตสาหกรรมมีไม่มาก ภาครัฐมีกำลังเพียงพอที่จะเข้าไปช่วยเหลือได้ จึงจะสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนเรื่องน้ำได้”
ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวจะคุ้มค่าสูงสุด และมากกว่าการตั้งโรงงานแยกน้ำจืดจากน้ำเค็ม หรือโครงการผันน้ำจากแหล่งน้ำในกัมพูชามาใช้ในอีอีซี เพราะการสกัดน้ำเค็มเป็นน้ำจืดมีต้นทุนสูงมากกว่าการบำบัดน้ำเสียนำกลับมาใช้ใหม่ถึง 5 เท่า จากปัจจุบันการบำบัดน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่มีต้นทุน 15-16 บาทต่อหน่วย ส่วนการผันน้ำจากกัมพูชามีต้นทุนโลจิสติกส์สูงเกินไป เพราะต้องสูบน้ำข้ามภูเขา
นายไชยาพงษ์ เทพประสิทธิ์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ปัจจุบันภาคตะวันออกต้องการใช้น้ำรวม 4,167 ล้านลูกบาศก์เมตร ในจำนวนนี้อยู่ในอีอีซี 2,419 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยภาคการเกษตรใช้น้ำมากที่สุด 3,097 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นภาคเกษตรในอีอีซี 1,562 ล้านลูกบาศก์เมตร
รองลงมาเป็นภาคอุตสาหกรรม 713 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นอุตสาหกรรมในอีอีซี 606 ล้านลูกบาศก์เมตร และภาคอุปโภค บริโภคและการท่องเที่ยว 356 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นภาคอุปโภค บริโภค และการท่องเที่ยวในอีอีซี 251 ล้านลูกบาศก์เมตร
ทั้งนี้ ในอนาคต 20 ปีข้างหน้า (ปี 2580) ภาคตะวันออกต้องการใช้น้ำ 5,775 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นความต้องการใช้น้ำในอีอีซี 3,089 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นภาคเกษตร 4,231 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นภาคเกษตรในอีอีซี 1,832 ล้านลูกบาศก์เมตร
ภาคอุตสาหกรรม 1,029 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซี 865 ล้านลูกบาศก์เมตร และภาคอุปโภค บริโภคและการท่องเที่ยว 516 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นการอุปโภค บริโภค และการท่องเที่ยวในอีอีซี 392 ล้านลูกบาศก์เมตร
“กรมชลประทานคาดว่าใน 5-10 ปี จะจัดหาน้ำได้เพิ่มขึ้น 354 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้ 10 ปีนับจากนี้ ภาคตะวันออกยังไม่ขาดน้ำ แต่ในระยะยาวต้องดูแผนกรมชลประทานว่าทำได้ตามแผนหรือไม่ โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) จะต้องประสานแผนบริหารจัดการน้ำของทุกหน่วยงานมาบูรณาการ เพื่อให้การจัดหาน้ำมีประสิทธิภาพแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างยั่งยืน”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-อุตุฯ เผยไทยฝนตกต่อเนื่อง-ตกหนักบางพื้นที่ กทม. ร้อยละ 60
-อุตุฯ ประกาศ ฉบับที่ 6 'พายุดีเปรสชัน'
-กรมอุตุฯ ประกาศ ฉ.10 จับตาพายุวิภา คาดเหนือ-อีสานฝนตกหนัก
-กรมอุตุฯ เผยร่องมรสุมพัดผ่านทั่วปท.ยังมีฝนต่อเนื่อง