ใช้คดีหั่นศพ 'ผัสพร' แนวทางผูกคดีฆ่าบิลลี่ยัดถัง

ใช้คดีหั่นศพ 'ผัสพร' แนวทางผูกคดีฆ่าบิลลี่ยัดถัง

อธิบดีดีเอสไอ สั่งพนง.สอบสวน เร่งศึกษาคำพิพากษาคดีฆ่าหั่นศพ หมอผัสพร-อุ้มทนายสมชาย หวังอุดช่องว่างสำนวนคดีฆาตกรรมบิลลี่ แม้ขาดประจักษ์พยานก็ใช้พยานแวดล้อม-ชิ้นส่วนศพ เชื่อมโยงกลุ่มคนร้ายลงมือฆ่า

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ว่า ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนไปนำคำพิพากษา คดีฆ่าหั่นศพหมอผัสพร บุญเกษมสันติ และคดีอุ้มนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน มาศึกษาในรายละเอียด เพื่อนำมาอุดช่องโหว่ในการสอบสวนคดีฆาตกรรมบิลลี่. ซึ่งทั้ง 2 คดีมีความแตกต่างกัน โดยบิลลี่ หายตัวไปภายหลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมตัวพร้อมรถจักรยานยนต์ในความผิดเกี่ยวกับการนำน้ำผึ้งป่าออกจากเขตอุทยานแห่งชาติโดยผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอจะยังไม่ออกหมายเรียกหรือหมายจับบุคคลใด จนกว่าจะทราบผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ชิ้นส่วนกระดูกอีก 8 ชิ้น และวัตถุพยานอื่นๆ อย่างเป็นทางการ

รายงานข่าวแจ้งว่า พนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิต ของนายพอละจี หรือ บิลลี่ ในที่มีประชุมเมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา ได้มีการเสนอให้นำคำพิพากษาคดีฆ่าหั่นศพ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ อดีตสูตินรีแพทย์ รพ.บุรฉัตรไชยากร ที่ถูก นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ ” อดีตสูตินรีแพทย์ รพ.จุฬาฯ สามีฆ่าหั่นศพซึ่ง ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษา ยืนตาม ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อ 26 ก.ค.50 ที่ผ่านมา ให้ประหารชีวิต นพ.วิสุทธิ์ แม้คดีไม่มีประจักษ์พยานเห็นในขณะลงมือฆ่า แต่มีชิ้นส่วนสำคัญของร่างกายที่บ่งชี้ว่าผู้ตาย เสียขีวิตและมีหลักฐานภาพถ่ายที่เชื่อได้ว่า นพ.วิสุทธิ์ อยู่กับผู้ตายเป็นคนสุดท้าย ซึ่งเป็นพยานแวดล้อมและหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่มีความสอดคล้องเชื่อมโยงเป็นขั้นเป็นตอน มีน้ำหนักให้ศาลเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ฆ่าพญ.ผัสพรจริง

ส่วนคดีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องจำเลย ทั้ง 5 คน โดยในคดีดังกล่าวไม่พบเศษชิ้นส่วนของร่างกาย ที่จะบ่งชี้ว่านายสมชายเสียชีวิต ศาลได้ยกฟ้อง อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนดีเอสไอ พยามอุดช่องโหว่ทางคดีทำสำนวนให้รัดกุมและต้องการให้พยานหลักฐานต่างๆสอดคล้องกัน ถึงแม้สุดท้ายหากไม่สามารถหาตัวประจักษ์พยานมาให้การ แต่จะใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และพยานแวดล้อม ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มบุคคลร่วมกันก่อเหตุอย่างไร