ความเชื่อมั่นซีอีโอมะกันทรุดต่ำสุดยุค"ทรัมป์"
การจัดทำดัชนีนี้ เป็นการรวบรวมความเห็นของเหล่าสมาชิกของบิสสิเนส ราวด์เทเบิ้ล หรือสมาคมซีอีโอจากบริษัทในสหรัฐ
ผลสำรวจบิสสิเนส ราวด์เทเบิ้ล ซึ่งเป็นการสำรวจความเห็นบรรดาประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)บริษัทชั้นนำในสหรัฐพบว่า เหล่าซีอีโอบริษัทชั้นนำมองแนวโน้มธุรกิจย่ำแย่ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่6 ท่ามกลางการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังคงดำเนินอยู่ ประกอบกับภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจในมุมมองซีอีโอจากบิสสิเนส ราวด์เทเบิ้ล ร่วงลงกว่า10จุดมาอยู่ที่ 79.2 ในไตรมาส3 ถือเป็นการร่วงลงแตะระดับต่ำสุด นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐขึ้นมาบริหารประเทศ โดยดัชนีนี้เคยทะยานสูงสุดที่ 118.6 ในไตรมาสแรกของปี 2561 จากนั้นก็ร่วงลงมาต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในประวัติศาสตร์การจัดทำดัชนีซึ่งอยู่ที่ 82.7
การจัดทำดัชนีนี้ เป็นการรวบรวมความเห็นของเหล่าสมาชิกของบิสสิเนส ราวด์เทเบิ้ล หรือสมาคมซีอีโอจากบริษัทในสหรัฐ
"ผลสำรวจไตรมาสนี้สะท้อนให้เห็นว่าภาคธุรกิจอเมริกันกำลังเผชิญหน้ากับบรรยากาศทางธุรกิจที่ไม่แน่นอนเพราะผลพวงของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ที่ทำให้การลงทุนในสหรัฐพลอยจำกัดไปด้วย "โจชัว โบลเทน ประธานและซีอีโอบิสสิเนส ราวด์เทเบิ้ล กล่าว
ทั้งนี้ หนึ่งในห้าซีอีโอที่ร่วมทำผลสำรวจ คาดการณ์ว่ายอดขายของบริษัทจะปรับตัวลดลงในระยะ6เดือนข้างหน้า เทียบกับช่วงไตรมาสที่ผ่านมาที่คาดว่ายอดขายบริษัทจะลดลงแค่ 9% และ20% คาดว่าจะเลย์ออฟพนักงานในช่วงเวลาดังกล่าว
นอกจากนี้ บรรดาผู้บริหารระดับสูงของบริษัทสหรัฐยังคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของสหรัฐ(จีดีพี)จะขยายตัว 2.3% ในปีนี้ ลดลงจากการคาดการณ์ในไตรมาสที่แล้วที่ 2.6% โดยอ้างว่าเป็นเพราะการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐและความสัมพันธ์กับต่างประเทศ รวมถึงภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่เป็นสาเหตุหลักทำให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจดิ่งลงติดต่อกัน
เจมี ไดมอน ซีอีโอเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นประธานบิสสิเนส ราวด์เทบิ้ล กล่าวว่า บรรดาสมาชิกยังคงมีแผนการจ้างงานเพิ่มและการลงทุนเพิ่มแต่ความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐเป็นสิ่งที่สร้างความวิตกกังวลให้แก่บรรดาผู้บริหารบริษัทและฉุดความเชื่อมั่นทางธุรกิจ
ผลสำรวจความเห็นเหล่าซีอีโอครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนรุนแรงขึ้น เมื่อรัฐบาลสหรัฐโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 10% เมื่อต้นเดือนสิงหาคม ทำให้จีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐเช่นกัน และที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐ ส่งสัญญาณว่าจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในล็อตที่ประกาศเมื่อต้นเดือนสิงหาคมในอัตรา 25% แต่ถูกคัดค้านจากภาคธุรกิจอเมริกัน ทั้งบริษัทขนาดเล็กและบริษัทขนาดใหญ่ ผลจึงออกมาที่จัดเก็บภาษีในอัตรา 10%
ด้านปธน.ทรัมป์ กล่าวว่า จีนกำลังซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐจำนวนมาก และการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจมีขึ้นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.ปีหน้า หรือ 1 วันหลังเหตุการณ์ดังกล่าว
ขณะที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์)ประกาศว่า สหรัฐและจีนจะจัดการเจรจาการค้าในระดับรัฐมนตรีช่วยในวันพฤหัสบดี(19ก.ย.)ตามเวลาสหรัฐ หลังจากที่ทั้งสองประเทศยุติการทำสงครามการค้าระหว่างกัน ซึ่งการเจรจาครั้งนี้จะเกิดขึ้นก่อนการประชุมระดับรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศ โดยจะมีขึ้นในช่วงต้นเดือนต.ค.
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังเลื่อนแผนขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนออกไป 2 สัปดาห์ หรือตรงกับวันที่ 15 ต.ค. ขณะที่จีนประกาศยกเว้นการขึ้นภาษีผลิตภัณฑ์การเกษตรบางชนิดของสหรัฐ อาทิ ถั่วเหลือง และผู้นำสหรัฐยังบอกว่า เขาอาจพิจารณาทำข้อตกลงการค้าชั่วคราวกับจีน ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นต่างๆที่สามารถตกลงกันได้ก่อน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-สัญญาณบวก สหรัฐ-จีน หนุนดาวโจนส์พุ่งกว่า 200 จุด
-“สหรัฐ-จีน”เริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้รอบใหม่
-กูรู-สื่อจีนเตือน 'อย่าอ่อนข้อ' ดีลการค้าสหรัฐ
-“ทรัมป์”กดดันจีนรีบทำข้อตกลงกับสหรัฐ