ลุ้นส่งออก

ลุ้นส่งออก

ดัชนีวานนี้ปิดปรับตัวลงแรง แม้เฟดจะปรับอัตราดอกเบี้ยลงตามคาด แต่ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะปรับลดอีกในอนาคต

นอกจากนี้ ตลาดยังไร้ปัจจัยใหม่ช่วยหนุน ประกอบกับแรงเทขายในกลุ่ม ENERG ที่ร่วงตามราคาน้ำมัน และ TELECOM ที่ปรับตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ นักลงทุนสถาบันยังขายสุทธิกว่า 3 พันลบ. ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,654.14 จุด (-13.48 จุด) Volume 5.7 หมื่นลบ. ต่างชาติ +397.54 ลบ. TFEX Net -2,197 สัญญา ตลาดตราสารหนี้ -3,111 ลบ.

ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ

+ราคาน้ำมันดิบ WTI บวก 2 เซนต์ ปิด 58.13 ดอลลาร์/บาร์เรล จากการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดจะลดลงจากการโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

+สหรัฐเผยตัวเลขศก.ที่ออกมาดี ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสองพุ่งสูงสุดรอบ 17 เดือนในส.ค. ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 2 ลดลง 5.9%

+ ธนาคารกลางญี่ปุ่นและธนาคารกลางอังกฤษมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม

+คาดการประชุมครม.เศรษฐกิจวันนี้จะช่วยปลดล็อคการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานให้เดินหน้าต่อ

-/+Conference Board เผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐทรงตัวในเดือนส.ค.

-ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 52.29 จุด -0.19% จากการซึมซับข่าวการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเฟด และข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นไมโครซอฟท์ รวมทั้งมุมมองบวกที่มีต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

-เฟดฟิลาเดลเฟียเผยดัชนีภาวะธุรกิจมิด-แอตแลนติกร่วงลงในเดือนก.ย.

-สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว

-ททท.มองว่าอาจจะไม่เห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศเติบโต 10% อย่างในอดีต เพราะมีปัจจัยกดดันด้านเศรษฐกิจโลก อัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่า และประเทศคู่แข่งด้านการท่องเที่ยวในละแวกใกล้เคียงอัดงบประมาณสนับสนุนการท่องเที่ยว

*จับตากระทรวงพาณิชย์แถลงตัวเลขการส่งออก-นำเข้า และ EU เผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ย.

 

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

ลุ้นรีบาวด์หลังจากดัชนีมีแรงขายออกมามากกว่าในตลาดภูมิภาค 2 วันทำการ อีกทั้งนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับมามีสถานะซื้อช่วยหนุนดัชนี และวันนี้จะมีการประกาศตัวเลขส่งออกซึ่งในเดือน ก.ค. มีการขยายตัวทำให้มีโอกาสที่เดือน ส.ค. จะขยายตัวต่อเนื่อง คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,635-1,650 จุด

หุ้นรายงานพิเศษ

ARROW คงแนะนำ ซื้อราคาเหมาะสม 10.50 บาท

  • ผลประกอบการของบริษัทได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงปีที่ผ่านมา และทยอยฟื้นตัวขึ้น โดยเห็นได้จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้น จากราคาเหล็กในตลาดโลกที่ลดลง
  • คาดผลประกอบการ 2H19 ถึงปี 20 ยังเติบโตได้ดีตามต้นทุนวัตถุดิบเหล็กที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำที่ 21-24 บาท/กก. จาก 25-27 บาท/กก. ในช่วงต้นปี
  • มียอด Backlog ที่อยู่ในระดับสูงราว 1 พันล้านบาท และงานใหม่ที่อยู่ระหว่างรอผลประมูล เช่น งานท่อร้อยสายไฟโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู-สายสีเหลือง และงาน Subcontract ท่อร้อยสายไฟใต้ดินจากบริษัทพันธมิตร ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลช่วงปลายปีนี้
  • ประมาณการกำไรสุทธิปี 19-20 ไว้ที่ระดับ 177.4 ล้านบาท และ 66ฃ ล้านบาท เติบโต +15.5%Y และ +5.7%YoY

กลยุทธ์การลงทุน

หุ้น Defensive Stock (EASTW TTW BCH CPALL BJC) หุ้น Domestic Play (ADVANC AMATA EKH SISB HMPRO) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ชิมช้อปใช้ (SPA ASAP ERW TNP)  เก็งกำไรประชุม ครม.เศรษฐกิจในวันศุกร์นี้ (STEC CK UNIQ SEAFCO PYLON)

หุ้นมีข่าว   

·      (-) ประเด็นลบกลุ่มแบงก์ : ธนาคารพาณิชย์เซ็น MOU การปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบให้เหมาะสมกับภาวการณ์ต่าง ๆ และพิจารณาว่าลูกหนี้กู้ไปบริโภคโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์หรือไม่ จากในอดีตอาจพิจารณาเพียงความสามารถในการชำระคืนเท่านั้น ขณะนี้หลาย ๆ ธนาคารชะลอแคมเปญในกลุ่มที่จะเป็นการก่อหนี้เกินตัว เช่น โปร 0% ผ่อน 6 เดือนสำหรับการท่องเที่ยว หรือ การซื้อมือถือ

ผลกระทบ :

คาดสินเชื่อรายย่อยของแบงก์ชะลอตัว และกดดันรายได้ดอกเบี้ย เนื่องจากสินเชื่อบัตรเครดิตหรือสินเชื่อพร้อมใช้ ไม่มีหลักประกันจึงมี yield สูง แต่จะส่งผลดีต่อภาระหนี้ครัวเรือนไม่สูงขึ้น และ NPL จากกลุ่มสินเชื่อรายย่อยน่าจะควบคุมได้ดีขึ้น

ความเห็น : คาดว่าจะเป็นผลลบต่อ KTC AEONT มากที่สุดเนื่องจากให้บริการบัตรเครดิตเพื่อจับจ่ายใช้สอยเป็นหลัก รองลงมาเป็น BAY เนื่องจากดำเนินการบัตรเครดิตหลายใบ ได้แก่ บัตรเครดิตกรุงศรี first choice , central , tesco lotus อย่างไรก็ดีคาดจะมีโปรโมชั่นอื่นทดแทนที่จะช่วยแบ่งเบาผลกระทบให้ลดน้อยลง

·      GSC ก.ล.ต.ขอให้ผู้ถือหุ้น ไปใช้สิทธิออกเสียงในการประชุมวิสามัญผถห.ในวันที่ 25 ก.ย.62 กรณีการขอสัตยาบันการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ ACAP เนื่องจาก GSC นำเงิน IPO และเงินทุนหมุนเวียนกิจการไปให้ ACAP ผถห.ใหญ่ 64%กู้ยืมในอัตรา 2%ต่อปี ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเห็นว่าไม่ควรอนุมัติเนื่องจากไม่สมเหตุสมผลและไม่เหมาะสม อัตราดบ. 2% ต่อปีต่ำกว่าการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าและต่ำกว่าที่ ACAP กู้ที่ 4.40-8% ต่อปี ระยะเวลากู้ยืมไม่ชัดเจน เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ และใช้เงินไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์

·      BTS (Bloomberg Consensus 13.88 บาท) เจรจาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวจบแล้ว ยอมเก็บค่าโดยสารทั้งสายไม่เกิน 65 บาท พร้อมรับหนี้กทม.กว่าแสนล้านบาท แลกต่อสัมปทานอีก 30 ปี รอชงครม.ไฟเขียว พร้อมทุ่ม 1.4 พันล้านบาทแก้ปัญหาคอขวดสถานีตากสิน นอกจากนี้เตรียมอัดเงินลงทุนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส เนื้อที่ 200 ไร่ หน้าโครงการธนาซิตี้ คาดชัดเจนปี 63 แย้มสนใจประมูลรถไฟฟ้า LRT (ที่มา ข่าวหุ้น)

·      U (Bloomberg Consensus – บาท) ในเครือบีทีเอส ผนึกพันธมิตรฮ่องกง ทุ่มงบ 5,000 ล้านบาท ร่วมลงทุนโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ติดโครงการธนาซิตี้ ย่านบางนา จ่อเปิดสอน ส.ค. 63 คาดคุ้มทุนใน 10 ปี มั่นใจปี 62 เทิร์นอะราวด์ รับแรงหนุนรายได้ธุรกิจโรงแรม (ที่มา ข่าวหุ้น)

·      PLANB (Bloomberg Consensus 9.34 บาท)  ทุ่มงบกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนสร้างและบริหารจัดการสื่อโฆษณา ณ จุดขายภายในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ตั้งเป้า 3,000 สาขา ภายในปี 64 (ที่มา ข่าวหุ้น)

·      TRT (Bloomberg Consensus – บาท)  ลุยประมูลงานต่อเนื่อง มูลค่างานกว่า 8,742 ล้านบาท คาดหวังได้งานกว่า 20-25% พร้อมผนึกกับ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้-จีน ลุยลงทุนธุรกิจใหม่ด้านแบตเตอรี่ ส่วนผลงานปีนี้หั่นเป้ารายได้ลงเหลือ 2,320 ล้านบาท หลังงานภาครัฐส่วนใหญ่ที่ออกมาล่าช้ากว่ากำหนดการเดิม (ที่มา ข่าวหุ้น)

·      EKH (ราคาเหมาะสม 8.70 บาท) ไฮซีซันดันผลงาน Q3/2562 โตเด่นเดินหน้าเปิดศูนย์กุมารเวชแห่งใหม่ Q4/2562 คาดจำนวนผู้ป่วยเพิ่มไม่ต่ำกว่า 10% แถมเตรียมเปิดศูนย์เฉพาะทาง ตา หู คอ จมูก และศูนย์ทันตกรรม ต้นปี 2563 ช่วยเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้ป่วยเฉพาะทางที่มีรายได้ต่อหัวที่สูงขึ้น มั่นใจปีนี้รายได้โตตามเป้า 10% (ที่มา ทันหุ้น)

  • ERW (Bloomberg Consensus 7.35 บาท) รับขาขึ้น หลังยอดนักท่องเที่ยวจีนขยายตัว ภาครัฐกระตุ้นท่องเที่ยว ลั่นไตรมาส 4/2562 ผลงานพีคสุด มั่นใจรายได้สิ้นปี 2562 โตเข้าเป้า 7% พร้อมเดินหน้าเปิดโรงแรม 9 แห่งในประเทศรองรับนักท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง ชูอัตราการเข้าพักพุ่งเหนือ 80% (ที่มา ทันหุ้น)
  • SAMART (Bloomberg Consensus 10.68 บาท) แย้มมีงานรอเซ็น 2-3 โครงการ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ในเดือนกันยายนนี้ ช่วยหนุนงานในมือ (Backlog) เพิ่มจากปัจจุบันอยู่ที่ 8,000-9,000 ล้านบาท เตรียมเข้าประมูลงานใหม่อีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท ผบห.ย้ำเป้ารายได้ปีนี้ชน 2 หมื่นล้านบาท (ที่มา ทันหุ้น)
  • (+) RPC (Bloomberg Consensus - บาท)  เผยศาลแพ่งพิพากษาให้ (-) PTT (Bloomberg Consensus 51.23 บาท)   ชำระค่าเสียหายแก่บริษัทตามคำชี้ขาดอนุญาโตฯกรณีบอกเลิกสัญญาซื้อขายวัตถุดิบ

ความเห็น หากมีการชำระค่าเสียหายคาดว่า PTT จะต้องชำระค่าเสียหาย 3.4 พันลบ. (คิดเป็น 2.8% ของกำไรปี 61 ที่ 119,684 ลบ.) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อหุ้น PTT 0.12 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ PTT แจ้งว่าจะใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแพ่งต่อศาลฎีกาตามกฎหมายต่อไป