จาก “คลาวด์” สู่ “ผืนนา” พัฒนาเกษตรบนความยั่งยืน

จาก “คลาวด์” สู่ “ผืนนา” พัฒนาเกษตรบนความยั่งยืน

ไมโครซอฟท์มองว่าอุตสาหกรรมการเกษตรยังเต็มไปด้วยโอกาสอีกมากมายให้เทคโนโลยีเข้าไปมีบทบาท

ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งข่าวสารและความเคลื่อนไหวมากมายรอบตัวเราต่างก็พูดถึงการนำเทคโนโลยีมายกระดับให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น และภาพที่อยู่ในใจของทุกคนเมื่อได้ทราบถึงเรื่องราวเหล่านี้ ผมก็มั่นใจว่าเกิน 90% คงเห็นภาพออฟฟิศสวยๆ บ้านเนี้ยบๆ หรือไม่ก็แค่สมาร์ทโฟนบนฝ่ามือตัวเอง

แต่ภาพหนึ่งที่น้อยคนนักจะนึกถึงคือภาพของทุ่งที่เขียวขจี สัญลักษณ์ของภาคการเกษตร ซึ่งเคยเป็นถึงกำลังขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยในอดีต และยังคงมีบทบาทที่สำคัญไม่น้อยในปัจจุบัน ด้วยรายได้ที่คิดเป็นมูลค่าราว 10% ของจีดีพีไทยขณะพื้นที่สำหรับการเกษตรนั้น ก็ครอบคลุมบริเวณถึง 43% ของประเทศ

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดมุมมองที่น่าสนใจในเรื่องนี้ พร้อมทั้งยกตัวอย่างความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา โดยระบุว่า ปลายปีที่แล้ว ไมโครซอฟท์ได้นำตัวอย่างความสำเร็จของพันธมิตรไทยอย่าง “บลู โอเชียน เทคโนโลยี” ผู้พัฒนาระบบฝึกสอนคนขับรถตัดอ้อยแบบเสมือนจริงที่นำเทคโนโลยี “วีอาร์” (VR) และ “แมชชีน เลิร์นนิ่ง” มาย่นย่อเวลาในการฝึกฝนให้สั้นลงมาก ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างผลงานที่ยอดเยี่ยมจากการคิดนอกกรอบด้วยเทคโนโลยี

"ขณะเดียวกัน เรายังมองว่าอุตสาหกรรมการเกษตรยังเต็มไปด้วยโอกาสอีกมากมาย ให้เทคโนโลยีเข้าไปมีบทบาท เพราะท้ายที่สุดแล้ว ภาคการเกษตรทั่วโลกยังมีภารกิจที่ท้าทายไม่น้อยกับการผลิตอาหารให้เพียงพอกับจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก จาก 7,700 ล้านคน เป็นกว่า 10,000 ล้านคนในปี 2593 นอกจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นแล้ว พฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้คนจำนวนมากยังเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่คาดการณ์กันว่า เกษตรกรอาจต้องเพิ่มกำลังการผลิตอาหารให้สูงขึ้นถึง 70% โดยที่อาจมีพื้นที่เพาะปลูกและทรัพยากรต่างๆ ในระดับที่ไม่ต่างจากปัจจุบันเท่าไรนัก"

ธนวัฒน์ กล่าวว่า นอกจากโจทย์ใหญ่นี้แล้ว ยังต้องพิจารณาถึงช่องว่างด้านเงินทุนและทรัพยากรระหว่างเกษตรกรรายใหญ่และรายย่อย เพราะแม้ธุรกิจรายใหญ่ในภาคการเกษตรจะมีเงินทุนและศักยภาพในการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาปรับใช้อย่างเต็มรูปแบบ แต่เราจะลืมไม่ได้ว่ากำลังการผลิตอาหารทั่วโลกกว่า 70% มาจากเกษตรกรรายย่อยนับล้านคนทั่วโลก ซึ่งโดยเฉลียแล้ว แต่ละคนมีที่ดินสำหรับการเพาะปลูกเพียงเล็กน้อย ทั้งยังขาดเงินทุนและโครงสร้างพื้นฐานจนอาจไม่สามารถเข้าถึงได้แม้แต่เทคโนโลยีขั้นแรกเริ่มเสียด้วยซ้ำ

ในประเทศอินเดีย ไมโครซอฟท์ได้จับมือกับสถาบันวิจัยพืชการเกษตรในพื้นที่กึ่งแห้งแล้งเขตร้อน (ICRISAT) มอบแพลตฟอร์มคลาวด์ และเอไอ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแอพพลิเคชัน "AI Sowing" ซึ่งนำข้อมูลสภาพอากาศที่ครอบคลุมช่วงเวลากว่า 30 ปีมาวิเคราะห์และให้คำแนะนำว่าเกษตรกรควรเริ่มปลูกพืชผักเมื่อใด ฝังเมล็ดลึกมากน้อยเพียงใด ใส่ปุ๋ยมากขนาดไหน โดยแจ้งข้อมูลทั้งหมดนี้ผ่านระบบเอสเอ็มเอส จึงทำให้เกษตรกรได้ประโยชน์จากนวัตกรรมได้โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนกับสมาร์ทโฟน ขณะที่คำแนะนำจากแอพนี้ก็ช่วยให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวพืชผลได้ปริมาณมากขึ้นถึง 10-30% โดยเฉลี่ย

หรือหากเกษตรกรรายใด มีเงินทุนหมุนเวียนมากพอที่จะลงทุนกับอุปกรณ์เพิ่มเติมบ้าง ก็มีตัวอย่างความสำเร็จของโครงการ FarmBeats ในสหรัฐอเมริกามาเล่าเป็นแรงบันดาลใจ เพราะเจ้าของฟาร์มแห่งนี้ได้นำเซ็นเซอร์และโดรนถ่ายภาพทางอากาศมาช่วยเก็บข้อมูลสภาพพื้นที่เพาะปลูก เพื่อทำการวิเคราะห์โดยละเอียดในทุกตารางนิ้ว จึงทำให้เจ้าของฟาร์มทราบถึงจังหวะที่ดีที่สุดสำหรับการหว่านเมล็ด รดน้ำ ใส่ปุ๋ย หรือเก็บเกี่ยวพืชแต่ละชนิดในแต่ละแปลง

“ส่วนในบ้านเรา เชื่อว่าอีกไม่นานเราน่าจะได้เห็นโครงการนำร่องในด้านเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรจากความร่วมมือกับภาครัฐออกมาสร้างประโยชน์ให้กับเกษตรกรไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้กับภาคการเกษตรต่อไป” ธนวัฒน์ กล่าว

ตัวอย่างความสำเร็จจากเรือกสวนไร่นาทั้งหมดนี้ เป็นตัวเน้นย้ำถึงประโยชน์ที่แท้จริงของเทคโนโลยีอย่างคลาวด์เอไอ หรือไอโอที เพราะการขับเคลื่อนความสำเร็จทางธุรกิจหรือการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น คงต้องเป็นเรื่องรองหากนำไปเทียบกับเรื่องของอาหารการกินและคุณภาพชีวิตของทุกคน