Selective Buy

Selective Buy

คาดภาวะตลาดจะได้แรงซื้อเก็งกำไรการทำ FTSE rebalance รอบใหม่ที่จะมีผลพรุ่งนี้ 20 ก.ย.ช่วยหนุนต่อภาพการลงทุนให้รีบาวด์ขึ้นได้

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ปรับตัวลง -9.79 จุด (-0.59%) ปิดที่ระดับ 1,654 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.4 หมื่นล้านบาท จากแรงขายกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีตามราคาน้ำมันดิบทรุดตัวลงแรงหลังซาอุฯเผยว่าจะกลับมาผลิตน้ำมันได้เต็มกำลังภายในสิ้นเดือนก.ย. ประกอบกับแรงขายลดความเสี่ยงเพื่อรอผลการประชุม Fed ในวันที่ 18 ก.ย.  ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติเป็นฝั่งขายสุทธิ 1,347 ล้านบาท รวมถึงเป็นฝั่งขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 3,575 ล้านบาท แต่ Net Long TFEX จำนวน 4,702 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นกลางคาด SET แกว่งตัว 1,650 – 1,660 จุด โดยแม้ว่า FED จะมีมติ 7-3 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เป็น 1.75-2.00% ตามคาด แต่ไม่ได้ส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงถัดไปส่งผลให้ทิศทาง Fund Flow มีความไม่แน่นอนโดย Foreign เป็น Net sell 6.4 พันลบ. MTD. นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงหลังซาอุฯเผยว่าจะกลับมาผลิตน้ำมันโดยสมบูรณ์ภายในสิ้นเดือนก.ย.และตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรลจะเป็นแรงกดดันต่อกลุ่มพลังงานอีกด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาวะตลาดจะได้แรงซื้อเก็งกำไรการทำ FTSE rebalance รอบใหม่ที่จะมีผลพรุ่งนี้ 20 ก.ย.ช่วยหนุนต่อภาพการลงทุนให้รีบาวด์ขึ้นได้ ดังนั้นแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ในกรอบ 1,650 – 1,660 จุด

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • หุ้นเข้าคำนวณ FTSE rebance รอบใหม่  Large cap EGCO , Mid cap KTC , BGRIM , Small cap PLANB THANI THG  , Micro cap  AMANAH
  • กลุ่มธนาคาร (BBL, KTB, KBANK, SCB) ธปท.อนุมัติให้ธนาคารนำสำรองฯส่วนเกินกลับมาเป็นรายได้หรือกำไรได้
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, THANI) ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง
  • Defensive stock AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, BGRIM, TPCH, TTW, CPALL

หุ้นแนะนำวันนี้

  • BGRIM (ปิด 42.25 ซื้อเก็งกำไรเป้าสูงสุด IAA Consensus 46 ) FTSE rebalance รอบใหม่โดยใช้ราคาปิดวันพรุ่งนี้ โดย BGRIM เป็นหนึ่งในหลักทรัพย์ที่ได้เข้าคำนวณในการปรับน้ำหนักของกลุ่ม Mid cap รอบนี้ ด้านผลกำไรใน 3Q19 และ 4Q19 จะยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของโรงไฟฟ้าใหม่ที่ทยอย COD ในช่วงปีที่ผ่านมาและต่อเนื่องมาจนถึงครึ่งปีแรกของปีนี้ ทำให้กำลังการผลิตของ BGRIM เพิ่มขึ้นกว่า 40%yoy
  • CK (ปิด 23.9 ซื้อเก็งกำไร/เป้า IAA Consensus 31 บาท)  เก็งกำไรข่าว ครม.เศรษฐกิจเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการก่อสร้างพื้นฐาน และ ข่าว รฟท. นัดกลุ่ม CP เซ็นสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สิ้นเดือน ก.ย.นี้ คาด CK เต็งหนึ่งได้งานก่อสร้างเพราะถือหุ้นอยู่ในกลุ่ม CP อยู่แล้ว หากได้งานนี้จริงจะช่วยปลดล็อกปัญหางานในมือ (Backlog) ที่อยู่ในระดับต่ำออกไป ขณะที่ราคาหุ้นลดลงสะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอใน 2Q19 ไปแล้ว

บทวิเคราะห์วันนี้

PTTEP (ปิด 124 ซื้อ /เป้า 160 บาท), TOP (ปิด 70.25 ซื้อ /เป้า 80 บาท)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด แต่ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งถัดไป: คณะกรรมการเฟดมีมติ 7-3 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.75-2.00% ตามที่เราและตลาดคาดไว้ นับเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้ เศรษฐกิจชะลอตัวและแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้เฟดลดดอกเบี้ย  ส่วนถ้อยแถลงหลังการประชุมเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งถัดไป แต่เฟดพร้อมที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกหากมีความจำเป็น ส่วนผลสำรวจคาดการณ์ของตลาดต่อการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งถัดไป ต.ค.และ ธ.ค.ยังก้ำกึ่ง (Fed watch) โดยมีความน่าจะเป็นที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือน ต.ค.ที่ 42.8% : 57.2% และเดือน ธ.ค.อยู่ที่ 56.3% : 43.7%
  • (-) น้ำมันดิบ WTI ร่วงอีก  US$1.23/bbl จากสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นสวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง: ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 อีก US$1.23/bbl จาก 1)ผลกระทบจากการโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันดิบของซาอุฯไม่ได้รุนแรงเหมือนที่ตลาดวิตก โดยซาอุฯคาดว่าแหล่งผลิตน้ำมันดิบทั้ง 2 แห่งจะกลับสู่ภาวะปกติภายในปลายเดือนนี้ 2) EIA รายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตรงข้ามกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน นับเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 สัปดาห์ นับเป็นปัจจัยลบกดดัน Sentiment ต่อหุ้นผู้ผลิตน้ำมัน(PTTEP) และ โรงกลั่น (TOP, ESSO, SPRC, BCP)
  • (+) ปัจจัยที่ต้องติดตามพรุ่งนี้ ครม.เศรษฐกิจเตรียมเสนอ โครงการเมกะโปร์เจกต์ และโครงการค้างท่อ เข้าที่ประชุม: วันพรุ่งนี้ ครม.เศรษฐกิจจะมีการประชุมในวาระของกระทรวงคมนาคมเป็นหลัก โดยเฉพาะการเร่งรัดโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่ยังล่าช้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการเมกะโปร์เจกต์ อาทิ งานก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสีต่างๆ รถไฟความเร็วสูง ทางด่วน และ มอร์เตอร์เวย์ นับเป็นข่าวดีโดยตรงต่อกลุ่มรับเหมาเนื่องจากปัจจุบันมีงานขนาดใหญ่จากภาครัฐออกมาประมูลค่อนข้างน้อยเนื่องจากอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลและอยู่ในช่วงต้นของรัฐบาลชุดใหม่ โดยกลุ่มรับเหมาเรายังเลือก CK, STEC และ SEAFCO เป็น Top pick ของกลุ่ม