ไทยประกาศเจตนารมณ์“2P Safety” ความปลอดภัยผู้ป่วย-บุคลากรสุขภาพ

ไทยประกาศเจตนารมณ์“2P Safety” ความปลอดภัยผู้ป่วย-บุคลากรสุขภาพ

สรพ.และภาคีจัดงาน “วันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยโลกและวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย 2562” ประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนเรื่อง “ความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลลากรสาธารณสุข”ยกย่อง 208 รพ.ที่ประกาศ2P Safeในปี2562

   

    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ประเทศไทยก้าวสู่ระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและความปลอดภัยเพื่อทุกคน”ในงาน “วันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยโลก และวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย ประจำปี 2562”  จัดโดยสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล(สรพ.)ระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และภาคีเครือข่ายว่า การที่ประเทศไทยจัดงานวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยโลก ครั้งที่ 1 และวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย ครั้งที่ 3 แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความตื่นตัวในการพัฒนาระบบบริการที่สอดคล้องกับทิศทางของโลก และสร้างพลังในการขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่องด้วยการขยายการพัฒนาระบบที่ครอบคลุมทั้งความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากร ซึ่งเป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งความร่วมมือ ความไว้วางใจและการสร้างทีมที่มีเป้าหมายร่วมกันทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ

      การที่โรงพยาบาลประกาศและตระหนักถึงการสร้างความปลอดภัยในระบบบริการ ให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบ เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด คลาดเคลื่อนที่สามารถป้องกันได้เชิงระบบ รวมถึง การสื่อสารสร้างความเข้าใจและสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและญาติ ในการร่วมกันเป็นทีมเพื่อช่วยกันดูแลผู้ป่วยให้ปลอดภัย เข้าใจถึงข้อจำกัดและความเสี่ยงต่างๆที่มีโอกาสเกิดขึ้น โดยโรงพยาบาลแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะไม่ละเลยและพร้อมพัฒนาปรับปรุงระบบ เพื่อสร้างคุณภาพและความปลอดภัย จะนำมาซึ่งความเชื่อถือและน่าไว้วางใจในระบบบริการจากประชาชน ลดปัญหาการฟ้องร้อง และความไม่เข้าใจในระบบบริการ

      ขณะเดียวกันอีกด้านของการให้บริการผู้ป่วย บุคลากรทางสาธารณสุขเป็นบุคลากรที่เสียสละทำงานอย่างหนัก แทบจะตลอดเวลา แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดความไม่ปลอดภัยกับบุคลากร ทั้งความไม่ปลอดภัยจากการทำงาน การติดเชื้อ การประสบอุบัติเหตุจากการส่งต่อผู้ป่วย การถูกฟ้องร้อง ภาวะเครียดจากการทำงานและภาระงาน และการถูกทำร้ายร่างกายระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งการที่โรงพยาบาลคำนึงถึงและให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวของบุคลากร และร่วมกันพัฒนาให้เกิดระบบป้องกัน และดูแลบุคลากรให้ปลอดภัยจะเป็นการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานให้แก่บุคลากรทางสาธารณสุข

     “ความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการรักษาพยาบาลใดๆเกิดขึ้น จะกระทบทั่งผู้ให้ผู้รับบริการและอาจต่อเนื่องไปจนถึงครอบครัวและสังคม ดังนั้น การที่ตื่นตัวให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วยเรียนรู้จากข้อผิดพลาด เพื่อพัฒนาระบบบริการให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัย ก็เท่ากับเราทำเพื่อการพัฒนาให้พวกเราทุกคนปลอดภัย เป็นการพัฒนาระบบบริการเพื่อพวกเราทุกคน”นายอนุทินกล่าว

     ขณะที่ นพ.กิตตินันท์ อนรรฆมณี ผู้อำนวยการสรพ. ให้ข้อมูลว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนความปลอดภัยฯ ได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรทางสาธารณสุข ระยะเวลา 4 ปีตั้งแต่พ.ศ.2561-2564 ภายใต้วิสัยทัศน์ คือ ประเทศไทยมีระบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสำหรับทุกคน

      มี 5 ยุทธศาสตร์หลัก คือ 1.สร้างบุคลากรสาธารณสุขให้มีศักยภาพ และความตระหนักในเรื่องความปลอดภัย 2.สร้างความร่วมมือกับเครือข่ายภาคประชาสังคม ผู้ป่วยและองค์กรต่างๆในระบบบริการสุขภาพ 3.พัฒนากลไกและระบบสนับสนุนที่จำเป็นต่อคุณภาพ และความปลอดภัยของระบบบริการสุขภาพ 4.สร้างระบบรายงาน เรียนรู้ และวัดผลลัพะ์บริการสุขภาพที่มีคุณภาพและความปลอดภัย และ5.เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมกำกับ ตรวจสอบ และอภิบาลระบบบริการสุขภาพ

     “จากยุทธศาสตร์นี้เกิดการขับเคลื่อนมีรพ.สมัครใจประกาศเป็นรพ.เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยจำนวน 163 แห่งในปี 2560 และเพิ่มเป็น 370 แห่งในปี 2561 และปี 2562 เพิ่มอีก 208 แห่ง ซึ่งมีการประกาศเป้าหมายความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขประเทศไทย มีการสื่อสารไปยังรพ.ต่างๆทั่วประเทศเกี่ยวกับแนวปฏิบัติและบูรณาการอยู่ในมาตรฐานการรับรองคุณภาพสถานพยาบาล มีการพัฒนาระบบเฝ้าระวังเพื่อนำอุบัติการณ์มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข ซึ่งมีรายงานเข้ามามากกว่า 2 แสนอุบัติการณ์ รวมถึง มีการจัดทำสื่อเพื่อสร้างความปลอดภัยในระบบริการโดยชุดสื่อ อย่าลืมถามหมอ อย่าลืมบอกหมอ ให้ประชาชนมีส่วนร่วม”นพ.กิตตินันท์กล่าว

    การขับเคลี่อนเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย มีเป้าหมายและทิศทางที่สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกหรือฮู(WHO)และประเทศอื่นๆทั่วโลก ที่ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วย

     ศุภลักษณ์ ชารีพัด พยาบาลวิชาชีพชำนาญ รพ.ขอนแก่นในฐานะผู้ให้บริการสาธารณสุขโดยเป็นพยาบาลห้องฉุกเฉิน สะท้อนว่า ตลอดหลายปีที่อยู่ในวิชาชีพพยาบาลและปฏิบัติงานในห้องฉุกเฉิน ทำให้รับทราบความสูญเสียที่เกิดขึ้นในการส่งต่อผู้ป่วยเสมอ อย่างเช่น กรณีรถพยาบาลรพ.บ้านไผ่ เกิดอุบัติเหตุขากลับจากส่งต่อคนไข้ เพราะพนักงานขับรถหลับในจากการที่ต้องควงเวร 24 ชั่วโมง

      หรือกรณีรพ.ร้อยเอ็ด ที่ต้องออกส่งต่อผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปรพ.ขอนแก่น ตอนเวลาตี 4 เกิดอุบัติเหตุทำให้พยาบาลวิชาชีพที่เพิ่งทำงานได้ 1 ปีกว่าเสียชีวิต โดยหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.)ยังไม่หมด บ้านที่เพิ่งสร้างยังไม่เสร็จ ซึ่งพยาบาลรายนี้เป็นความหวังเดียวของพ่อแม่ เท่ากับความหวังพ่อแม่พังทลาย ด้วยเหตุว่าบุคลากรต้องควงเวรหรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง และโครงสร้างรถพยาบาลที่มีการใช้อยู่ในปัจจุบันไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร เมื่อต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและรถเกิดอุบัติเหตุ ด้วยโครงสร้างภายในรถทำให้อุปกรณ์กระแทกร่างกาย ทั้งที่รู้แต่ก็ยังจำเป็นต้องใช้งานรถเช่นนั้นต่อไป เพราะหวังที่จะให้คนไข้มีชีวิตรอดเนื่องจากคนไข้ที่ต้องส่งต่อส่วนใหญ่เป็นคนไข้สีแดง ฉุกเฉินวิกฤติ

       “ทุกครั้งที่ขึ้นรถพยาบาลเพื่อส่งต่อคนไข้ ก็คิดตลอดว่าจะมีโอกาสกลับสู่ครอบครัวหรือไม่ เพราะคนที่พยายามต่อลมหายใจให้กับคนอื่น แต่ตัวเองมีความเสี่ยงต่อชีวิตเสมอขณะนำส่งผู้ป่วย อยากให้มีการหยุดความสูญเสียที่เกิดขึ้น ขอให้ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ ทำให้ความปลอดภัยเป็นจริง เช่น ปรับปรุงโครงสร้างรถให้ปลอดภัย ดูแลบุคลากรให้มีความพร้อมและเพื่อนร่วมทางบนถนน”ศุภลักษณ์กล่าว

      อีกหนึ่งเสียงจาก ภิญญามาศ โยธี ในฐานะผู้รับบริการสาธารณสุขเล่าประการณ์การสูญเสียลูกคนแรกจากการทำคลอดของโรงพยาบาลของรัฐ และคลอดลูกคนที่ 2 หูหนวก ตาบอด ในโรงพยาบาลเดียวกัน ซึ่งเป็นผลมาจากความผิดพลาดของการให้บริการ และต่อสู้จนได้รับชัยชนะในชั้นศาล 

       เมื่อปี 2546 ไปคลอดลูกคนแรกที่รพ.รัฐแห่งหนึ่งแล้วมีเหตุการณ์ทำให้ลูกเสียชีวิต  ซึ่งก่อนหน้านี้แพทย์บอกว่าครรภ์สมบูรณ์ดี กระท่ั่งตอนที่ไปตรวจครรภ์ก่อนคลอดช่วง 8 เดือน แพทย์แจ้งว่าเด็กไม่กลับหัว เมื่อเจ็บท้องคลอดตอน 3 ทุ่มได้แจ้งแพทย์เรื่องเด็กไม่กลับหัว แพทย์บอกสามารถคลอดเองได้ จนตัวเองเบ่งอยู่เป็นเวลานาน จนรู้สึกว่าไม่ไหวร้องขอให้แพทย์ผ่าคลอด แต่แพทย์ยังยืนยันให้คลอดเอง จนสุดท้ายความดันขึ้นสูง จึงให้ผ่าฉุกเฉิน กระทั่งตอนเช้าเลยไปถึงบ่ายแพทย์ถึงเข้ามาแจ้งว่าลูกเสียชีวิต

     5 ปีต่อมา ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 ขณะที่ป่วยเป็นลิ่มเลือดอุดตัน โดยรักษาและฝากครรภ์ที่รพ.เอกชนที่เป็นประกันสังคม ตอนนั้นตั้งครรภ์ได้ 1 เดือนครึ่ง ต้องรับยารักษาลิ่มเลือดเป็นยาฉีด แต่ก็ส่งตัวมาเข้ารับการรักษาในรพ.รัฐแห่งเดิมตอนอายุครรภ์ 5 เดือน และแพทย์ที่นี่ก็ปรับมาให้ยากินทั้งๆที่แจ้งข้อมูลไปแล้ว จน 1 เดือนผ่านไป มาพบแพทย์ เด็กน้ำท่วมสมอง เมื่อคลอดลูกมาหูหนวก ตาบอด

       “สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองถึง 2 ครั้งนั้น ถึงวันนี้อยากให้มีหน่วยงานรัฐมาดูแลความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการรับบริการทางการแพทย์ให้จริงจัง เพื่อผู้เสียหายที่เกิดขึ้นทุกคน และอยากให้พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบจากระบบบริการสาธารณสุขที่เป็นการดูแลทั้งผู้ให้และผู้รับบริการมีผลบังคับใช้โดยเร็ว”ภิญญามาศ กล่าว